เกาะตะรุเตา..สวรรค์สำหรับคนรักธรรมชาติ
เกาะตะรุเตา เกาะที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เกาะแห่งตำนานลี้ลับ เกาะแห่งความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เกาะแห่งความสงบ ฯลฯ หลากหลายที่มาของการขนานนาม แต่ไม่ว่าจะลงเอย หรือปิดท้ายอย่างไร ทุกครั้งที่เรามาเยือนเกาะตะรุเตา เราจะพบได้ซึ่งความสวยงามของธรรมชาติ สัมผัสได้ถึงความสงบ ได้พาลูกหลานศึกษาประวัติศาสตร์ของคุกตะรุเตา ได้พักผ่อนแบบสบายๆ ที่บนเกาะแห่งนี้ จนอยากจะชักชวนเพื่อนๆ ให้มาท่องเที่ยว ที่เกาะตะรุเตา...ที่ซึ่งเป็นสวรรค์..สำหรับคนรักธรรมชาติจริงๆ...
ช่วงวันหยุดยาว เทศกาลสงกรานต์ เราเชื่อว่าใครหลายคน คงมองหาสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อพาครอบครัวไปพักผ่อน ครอบครัวเราก็เช่นกัน เราพยามหลีกเลี่ยงการเดินทางอันยาวไกล จึงมาลงเอยที่ จ.สตูล เพราะใกล้บ้าน มีตัวเลือกระหว่าง เกาะตะรุเตา และ เกาะหลีเป๊ะ แต่จากการคำนวณ และประสบการณ์ที่ผ่านมา เราคิดว่า ผู้คนทั่วทุกสารทิศ คงมาลงเอยที่เกาะหลีเป๊ะ อย่างแน่นอน เราจึงตัดสินใจมาเที่ยวที่เกาะตะรุเตา จัดการชวนลูกๆหลานๆ จองที่พักเสร็จสรรพเรียบร้อย ปรากฏว่า พอวันออกเดินทางจริงๆ ฟ้าฝนตกกระหน่ำ จนทำให้ใครหลายคนต้องขอยกเลิก การเดินทางครั้งนี้ จึงเหลือแค่เพียง 4 ชีวิต...
ในวันที่เราเดินทาง พอออกจากฝั่ง ฟ้าฝนก็สงบ ทะเลเรียบ ทำให้เรือสปีดโบ๊ท สามารถทำเวลาได้เร็วที่สุด เท่าที่เราเคยนั่งมา คือไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ประมาณ 20 นาที ก็มาถึงท่าเทียบเรือที่เกาะตะรุเตา นั่งสบายๆ ชิลล์ๆ เลือกที่ท่องเที่ยวไม่ไกล ก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่เหนื่อยมาก
โดยปกติ เรือสปีดโบ๊ททุกลำ จะต้องแวะที่เกาะตะรุเตาในขาไป เพื่อมาส่ง และเพื่อให้นักท่องเที่ยว ที่ไม่ได้พักที่นี่ มาถ่ายรูปกับป้ายบนเกาะ ว่าได้มาเยือนเกาะนี้แล้ว โดยให้เวลาประมาณ 15 นาที แต่ในช่วงขากลับ ต้นสายเรือจะอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะ ถ้าเป็นช่วงเทศกาลจะเต็มมาจากที่นั่นแล้ว เรือจะไม่แวะที่เกาะตะรุเตา บางทีก็ใช้วิธีฝากผู้โดยสารต่อๆกันมา หากเรือลำไหนจะแวะในขากลับ อันนี้ก็จะเป็นวิบากกรรม ของผู้มาพักที่เกาะตะรุเตา ในช่วงเทศกาล ก็ต้องทำใจกันไว้ก่อน...
ค่าโดยสารมาลงที่เกาะตะรุเตา ขาละ 400 บาท ไป-กลับ 800 บาท เมื่อถึงท่าเทียบเรือบนเกาะตะรุเตา ต้องเสียค่าธรรมเนียม จากป้ายที่ติดไว้บอกว่า คนละ 40 บาท ปรากฏว่า วันที่เราไปเป็นวันครอบครัว ทางอุทยานแห่งชาติ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสถาบันครอบครัว วันนี้เลยไม่เก็บค่าขึ้นเกาะ... พวกเรา 4 คน ก็เลยได้เฮ ตั้งแต่แรก ขึ้นเกาะกันเลยทีเดียว...
มาเที่ยวบนเกาะแห่งนี้ ที่นี่ก็ยังคงสงบ ร่มเย็น เต็มไปด้วยแมกไม้ เขียวชอุ่ม เหมือนดังเช่นที่ผ่านมา ดูร่มรื่น น่าพักผ่อน เป็นที่สุด
เมื่อเช็คอิน ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้ว พวกเราเดินทางเข้าที่พัก ที่เส้นทาง ขนานไปด้วยต้นเสม็ดแดง น้อยใหญ่ ให้ความร่มรื่น สงบร่มเย็น มาถึงเวลาใด ก็ำไม่ต้องกลัวว่าจะร้อน
เราได้ห้องพัก เป็นบ้านตะบูน แบบสองห้องนอน ราคาห้องคืนละ 1,000 บาท อยู่ใกลสุด แต่สามารถเดินถึงได้อย่างสบายๆ ผ่านเสม็ดแดง ต้นแล้ว ต้นเล่า ดูเพลินพาดี ต้นเสม็ดแดง กลายเป็นสัญลักษณ์ อีกอย่างหนึ่งของเกาะตะรุเตาไปแล้ว
ในครั้งนี้ เรามาเยือนเกาะตะรุเตา เป็นช่วงเวลาที่เสม็ดแดง กำลังออกผล พอดิบพอดี ผลของเสม็ดแดง สีขาว สวยงาม มากมาย ดึงดูดให้สรรพสัตว์ มากินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน
และหนึ่งในนั้นก็คือ เจ้านกเงือก ดาราประจำเกาะ ที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไปบนเกาะแห่งนี้ โดยเฉพาะที่ต้นเสม็ดแดง ที่มีผลอยู่เต็มต้น มาที่เกาะตะรุเตา สามารถมองเห็นนกเงือกได้อย่างง่ายดาย มีนกเงือกอยู่ที่ไหน ก็จะทำให้เรารู้ว่า ที่นั่นยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ ของธรรมชาติ เจ้านกเงือกเป็นดัชนีชี้วัด ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ได้เป็นอย่างดี
ทางเข้าบ้านพัก จะถูกโอบล้อมไปด้วยต้นเสม็ดขาว หน้าบ้านพักมีนกขุนทอง นกประจำถิ่นอีกหนึ่งอย่าง ของเกาะตะรุเตา มาต้อนรับ ให้เราได้ถ่ายรูป เป็นอย่างดี ที่นี่ธรรมชาติที่ซู๊ด..ขอบอก
บริเวณบ้านพัก มีสารพัดนกมากมาย ให้ได้ชม ได้ดูกันจนเพลิน นักดูนกไม่ควรพลาด มาเที่ยวที่เกาะตะรุเตาด้วยประการทั้งปวง
และมาคราวนี้ เราได้พบดาราใหม่ แห่งเกาะนี้ นั่นก็คือ เจ้าหมูป่า ที่ลงเขามาเดินเล่น ขุดคุ้ย ดุนพื้นทราย เป็นการพรวนดิน ให้ต้นไม้ไปในตัว เจ้าหมูป่า บางตัว รู้ที่ ไปตามกลิ่นอาหาร ไปนั่งเล่น นอนเล่น อยู่ที่บริเวณร้านอาหาร รอเศษอาหารจากนักท่องเที่ยวเหลือกิน กินจนอ้วนพี จนจะกลายเป็นหมูบ้านไปแล้ว...
เข้าที่พักเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เราไปเดินเล่นแถวคลองพันเตมะละกา คลองที่ในอดีต เต็มไปด้วยจระเข้ ใหญ่น้อย มากมาย จนมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้างถึงความร้ายกาจของเหล่าจระเข้ แต่ปัจจุบันได้สูญพันธ์ไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงร่องรอย ถ้ำจระเข้ ให้ผู้คนได้แวะไปเที่ยว ไปชมกัน
การไปเที่ยวถ้ำจระเข้ ทำได้โดยการนั่งเรือไปชม ค่าโดยสารลำละ 500 บาท เราเคยไปมาแล้ว ปีนี้ขอนั่งกินลมชมวิว บนเกาะแล้วกัน การได้นั่งเล่น ชมเรือจอดนิ่งๆ ทำให้จิตใจสงบ เป็นการพักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ ได้เป็นอย่างดี
เรานั่งกินลมชมวิว บริเวณท่าเีทียบเรือ อากาศดีมากมาย ฝั่งซ้ายเป็นคลอง ฝั่งขวาเป็นทะเล สวยงามมาก และที่บริเวณนี้ จะมีนกนางแอ่นคอแดง บินเล่นอยู่มากมาย ที่เราสังเกตุได้คือ หากเมื่อไหร่มันจะหยุดลงที่ใหน มันจะหยุดเป็นคู่เสมอ ๆ น่ารักดี
ที่บริเวณคลองพันเตมะละกา มีเรือแคนนู ให้บริการพายเล่นไปในคลอง เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชอบกัน ค่าเรือชั่วโมงละ 100 บาทจ้า...
ตรงบริเวณท่าเรือแห่งนี้ เรามาสะดุดตากับ คนเรือ ที่กำลังหย่อนเบ็ด หย่อนปุ๊บ ได้ปลาปั๊บ เป็นที่ฮือฮา ในหมู่พวกเรา คุณสามีก็เลยเข้าไปคุย พี่คนเรือก็ใจดี แบ่งปันสายเบ็ด พร้อมเบ็ดให้พวกเราได้มีกิจกรรมทำ ในยามเย็น
กิจกรรมหย่อนเบ็ด ในครั้งนี้ เป็นที่ถูกอก ถูกใจ ของสมาชิก มากมาย ว่างไม่ได้ เป็นต้องหาที่หย่อนเบ็ด อยู่ร่ำไป เรามาดูกันซิว่า จะทำบาปขึ้นมั๊ย...
ปรากฏว่า ทำบาปขึ้นซะด้วย หย่อนไป หย่อนมา มีปลามากินเหยื่อปลอมด้วย ประมาณปลาเก๋า ปลาโฉมงาม แต่ถ้าตัวเล็กเกิน เราก็จะปล่อยไป ที่เกาะตะรุเตา หากเราได้ปลามา เราสามารถให้แม่ครัวที่ร้านอาหาร ทำได้ โดยคิดค่าบริการเมนูละ 50 บาทจ้า
หลังจากที่พวกเรารู้ว่า แม่ครัวรับทำอาหารจากที่ พวกเราหามาได้ พวกเราจึงไปขอซื้อปู จากชาวประมง ที่มาแวะอาบน้ำ อาบท่า ที่ท่าเรือแห่งนี้ และมักจะนำเอาสิ่งที่หาได้ จากท้องทะเล มาขายให้กับเจ้าหน้าที่อุทยาน เสมอๆ ด้วยสนนราคาที่เราสู้ได้ ที่สำคัญคือมันสดจริงๆ...ขอบอก
ที่สุดในค่ำคืนนั้น เราก็ได้กินปูนึ่งสดๆ จากทะเล ปูม้าที่มีแต่ไข่ทั้งนั้น สุดยอด แม่ครัวที่อุทยานฯแห่งนี้ เป็นแม่ครัวขั้นเทพ ทำเมนูอะไรก็อร่อยไปหมด แม้แต่น้ำจิ้มที่กินกับปูนึ่ง ก็ที่สุด ของที่สุด...ซี๊ดดด สุดยอด
กิจกรรมยามเช้า
เช้านี้ที่ตะรุเตา อากาศดีมากมาย เรามาเดินเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อย เห็นมีหลายคนก็ชอบไปเล่นน้ำทะเล ก็ว่ากันไป ช่วงเช้าร้านอาหารของอุทยานฯยังไม่เปิด แต่เราสามารถไปหาซื้อ น้ำชา กาแฟที่ร้านสวัสดิการฯ ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเทียบเรือ ที่ร้านแห่งนี้ มีขายเสื้อตะรุเตา สำหรับคนที่ชอบสะสมเสื้อด้วยนะจ๊ะ
ที่เกาะตะรุเตา สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่อ่าวพันเตมะละกาแห่งนี้ คือประภาคาร ซึ่งจะเป็นพระเอกคู่กับทะเลเสมอ เพราะโดดเด่นไม่เหมือนใคร เห็นประภาคารก็รู้แล้ว ว่าที่นี่คือเกาะตะรุเตาจ้า
และสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ของเกาะแห่งนี้ นั่นก็คือ ต้นลำเจียก ที่มีท่วงท่าลีลา อ่อนช้อย สวยงาม ตรงบริเวณลานกลางเต้น ถ้าได้ถ่ายต้นลำเจียกกับทะเล กับประภาคาร ถือว่าถึงแล้วจ้า..ตะรุเตา เช่นกัน
ดวงไฟตกหมึก มีคนนำมาผูกไว้ ตรงลานกางเต็นท์ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ เช้าๆ นอกจากเดินเล่น ก็มีวิ่งเล่น มีเล่นน้ำ ฯลฯ หลากหลายกันไป แล้วแต่ใครชอบ
สำหรับเราชอบถ่ายรูป ไปเรื่อยเปื่อย เป็นการเดินเล่นพักผ่อนไปในตัว เช้านี้ทะเลสงบมาก..ถึงมากที่สุด วันนี้เห็นเรือยอร์ช มาจอดเทียบท่าด้วย
ต้นหูกวางกำลังจะเปลี่ยนสี ใบสีแดง สีเขียว ตัดกับฟ้าสีฟ้า ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
ชัดๆอีกซักรูป สำหรับต้นหูกวาง ต้นไม้ที่ใครหลายคนมองผ่าน ไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่บนเกาะแห่งนี้ กลับเป็นที่สะดุดตา...
ผลของเสม็ดแดง ที่เหล่าบรรดาสรรพสัตว์ชอบกิน ในวันนี้เราเห็นใครหลายคน เด็ดมันไปกินด้วย โดยเฉพาะเด็กๆ ลูกหลานของเจ้าหน้าที่อุทยาน ท่าทางน่าอร่อย
วันนี้เราเห็นลิงจอมกวน พวกมันขึ้นไปขย่มบนต้นเสม็ด ให้ลูกมันร่วงลงมา แล้วพากันไปเก็บกิน เรื่องฉลาดและแสนซน ต้องยกให้ลิง ขยะที่ใส่ถังขยะ พี่แกก็รื้อขึ้นมากระจัดกระจาย หน้าบ้านพักเรา ใส่ถุงขยะอย่างดี ปรากฏพี่แกมารื้อฉีกเล่นหมด ใครไปพัก ก่อนออกจากที่พัก อย่าลืมเก็บข้าวของให้ดีนะจ๊ะ แต่เรื่องเสื้อผ้า ที่ตากอยู่น้องจ๋อ เค้าไม่ยุ่่ง หาแต่ของกินอย่างเดียว
ใครมาพักแบบนอนเต๊นท์ ที่นี่เหมาะสมที่สุด ลานกางเต๊นท์ กว้างขวางมาก รองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า เป็นลานกางเต็นท์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งก็ว่าได้
เราเดินไปสำรวจไปรอบๆ พบว่าบนเกาะแห่งนี้ มีเรือนประทับรับรองสำหรับพระเจ้าแผ่นดินหรือเชื้อพระวงค์ ฯลฯ ด้วย
และนี่คือเรือนประทับ ที่สมเด็จพระเทพฯ มาประทับ เมื่อครั้งเสด็จมาเยือนเกาะตะรุเตา เมื่อปี พ.ศ. 2535
ต้นหว้าหินของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงปลูกไว้ และที่ใกล้กัน ก็มีของพระองค์โสมฯ อีกหนึ่งต้น
ใกล้ๆกัน เป็นเรือนรับรองของข้าราชการระดับสูง มีอยู่น่าจะประมาณ 10 หลัง และด้านหลังคือผาโต๊ะบู ผาหินปูน ที่เราจะไปพิชิต กันในเย็นวันนี้
กิจกรรมศึกษาเส้นทางประวัติศาสตร์อ่าวตะโล๊ะวาว
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ เราก็ไปติดต่อรถเพื่อไปเที่ยวที่อ่าวตะโล๊ะวาว ซึ๋งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 12 กิโลเมตร หากต้องการไปช่วงเช้า ต้องเหมารถไปคันละ 600 บาท แต่ถ้าไปช่วงบ่ายๆ ก็เก็บคนละ 100 บาท แต่ต้องรอผู้โดยสารให้ได้หลายๆ คน ของพวกเราโชคดี ในวันนั้น เจอผู้ใหญ่ใจดี ให้นั่งรถไปด้วย พวกเราก็เลยได้เฮ...อีกแล้ว
จากอ่าวตะโล๊ะวาว มองไปที่เกาะที่ใกลที่สุด นั่นคือเกาะลังกาวี ของมาเลเซีย ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศไทยแค่ 4 กิโลเมตร เท่านั้นเอง
เมื่อเดินทางมาถึง เราถูกต้อนรับโดยพญากระรอก หางดำช่อใหญ่ สวยงามมาก กระโดดไปมา อยู่บนกิ่งไม้ สร้างความตื่นตาให้กับน้กท่องเที่ยว ได้เป็นอย่างดี
หลังจากชื่นชมกับอ่าวตะโล๊ะวาวแล้ว พวกเราก็เดินเท้า ไปสู่เส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์ตะโล๊ะวาวกัน ด้วยระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ไป-กลับก็ 3 กิโลเมตร โดยเดินไปตามทางเส้นทางตัวหนอน สิ้นสุดตัวหนอน ก็เป็นอันสุดเส้นทางไม่มีหลง
เรื่องราวประวัติศาสตร์ตะโล๊ะวาว จะเป็นเรื่องของการนำนักโทษการเมือง มาขังไว้ที่นี่ เป็นที่มาของคุกตะรุเตา เป็นที่มาของโจรสลัด การได้มาศึกษาเส้นทางนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ การใช้ชีวิตของนักโทษ สภาพความเป็นอยู่ การถูกทำโทษ ฯลฯ ผ่านทางแผ่นป้าย ที่แสดงอยู่ ณ สถานที่จริง ทำให้รู้สึกได้ถึง อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้คนในยุคนั้น
เราเริ่มต้นจากท่าเรือ ที่เป็นท่าเทียบเรือ สำหรับนักโทษมาลงที่เกาะแห่งนี้ นึกถึงสมัยก่อน การเดินทางต้องยากลำบาก และใช้เวลายาวนานมาก กว่าจะเดินมาถึงที่นี่
แผ่นป้ายจำลองการเดินทางของนักโทษ ผ่านภาพวาด เรือก็เป็นเรือขนาดเล็ก เทียบกับท่าเรือเล็กๆ ผู้คุมกำลังคุมนักโทษลงจากเรือ
กาลเวลาผ่านไป ท่าเรือ ก็คงเหลือแต่เพียงซากสลักหักพัง เหลือเพียงร่องรอยเล็กๆ ให้เราได้รำลึกถึงเหตุการณ์ ในครั้งนั้น
ที่สะดุดตา และสะเทือนใจที่สุด คงจะหนีไม่พ้น ตึกแดง สถานที่สำหรับลงโทษ ขั้นร้ายแรงที่สุด หนักสุด เมื่อมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้
ตึกแดงจะมีลักษณะก่อเป็นอิฐครึ่งวงกลม นักโทษที่ทำความผิดขั้นร้ายแรง จะถูกนำไปนอนราบกับพื้นดิน ในตึกแดงแห่งนี้ ในรูปยังมีที่รอง แต่ของจริง นอนกับพื้นดิน จะถ่ายหนัก หรือเบา ก็อยู่แต่ในนี้ ไม่เห็นแสงเดือน แสงตะวัน ประตูจะถูกปิด ให้เหลือแค่เพียงรู 5 รู ที่ประตูเท่านั้นเอง จะอยู่เป็นวัน เป็นเดือน ก็แล้วแต่ความหนักหนา สาหัส ของโทษนั้นๆ...
ภาพจำลองเหตุการณ์ เมื่อนักโทษ ทำความผิด แล้วถูกนำไปขังในตึกแดง ที่มีเพียงรู 5 รู เพื่อให้อากาศได้เข้าไป... ก็ทำให้นึกสะท้อนไปว่า นักโทษการเมืองที่มีความเห็นต่าง ในยุคนั้น จะถูกกำจัด ให้มาอยู่ในที่แห่งนี้ น่าเวทนายิ่งนัก
และนี่คือ เส้นทางไปเรือนพยาบาล ที่รองรับการป่วยไข้ของนักโทษราว 3,000 คน ช่วงที่สาหัส สากัน ที่สุด คือช่วงหน้าฝน นักโทษเป็นไข้ป่ากันมากมาย ซึ่งในยุคนั่น ยาที่ใช้รักษาโรคนี้ ยังไม่มี ทำให้มีนักโทษป่วยด้วยไข้ป่านี้ และเสียชีวิตมากถึง 700 ศพ...
เรื่องราวของนักโทษ ถูกเรียงร้อยผ่านแผ่นป้าย เรียงรายไปตามสถานที่จริง ตลอดเส้นทาง แม้นเราจะสะท้อนใจ ไปกับเรื่องราวของนักโทษ แต่ระหว่างเส้นทาง ก็มีธรรมชาติสวยงาม ให้เราได้ผ่อนคลาย ความสมบูรณ์ของผืนป่า ทำให้การเดินเท้าศึกษาประวัติศาสตร์ ครั้งนี้ผ่านไปได้โดยดี...
ที่อ่าวตะโล๊ะวาวแห่งนี้ มีความสำคัญในอดีตอีกอย่างหนี่ง นั่นก็คือ ที่นี่เคยเป็นท่าเทียบเรือเฟอรี่ ในยุคก่อนเก่า การเดินทางมาที่เกาะตะรุเตา ต้องมาลงที่ท่าเรือแห่งนี้ แล้วต่อรถ ไปลงที่อ่าวต่างๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งไม่สะดวกในการเดินทาง จึงถูกยกเลิกไปในที่สุด ที่เทียบเรือแห่งนี้ เคยได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาแล้ว ซึ่งตรงปลายสะพานจะมีพลับพลาเล็กๆ เป็นที่ประทับ แต่ปัจจุบัน ได้ผุพังไปหมดแล้ว...
หลังจากกลับจาก เส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์ที่อ่าวตะโล๊ะวาว พวกเราก็หมดแรง เมื่อถึงที่พักก็อาบน้ำ อาบท่า รีบไปกินมื้อเที่ยง ก่อนที่ร้านอาหารจะปิดตอนบ่ายสองโมง กิจกรรมที่อ่าวตะโล๊ะวาว เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ เราก็ไปหามุมสงบ พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ช่วงกลางวัน จะถูกตัดไฟบนเกาะแห่งนี้ ดังนั้น การได้อยู่ตามร่มไม้ น่าจะเป็นอะไร ที่สบายที่สุด เด็กๆ ก็ถ่ายรูปลงเฟสบุ๊ค กันไป...
ส่วนผู้ใหญ่..ก็เสื่อผืน หมอนใบ หาที่พักเย็นๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นอนเอาแรงกันไป ก่อนที่ช่วงเย็น เราจะไปพิชิตผาโต๊ะบูกัน... ครอก...ฟี้ ๆๆๆๆ
นอนใต้ร่มไม้ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แนะนำว่า ใครมาเที่ยวที่นี่ อย่าลืมหาเสื่อผืน หมอนใบเล็กๆ มาด้วย จะมีความสุขมาก ยามแดดแรง...
กิจกรรมพิชิตผาโต๊ะบู
มีกิจกรรมอะไร เป็นเกาะแห่งนี้ เราต้องพิชิตให้หมด ว่าแล้วพอตกเย็น เราก็ไปปีนผาโต๊ะบู ซึ่งอยู่ด้านหลัง ที่ทำการอุทยานฯ ด้วยระยะทาง 400 เมตร ก็คิดว่าน่าจะชิลล์ๆ การปีนเขา เป็นการออกกำลังกายอย่างดี ช่วยลดน้ำหนักดีที่สุด
การเดินทางขึ้นผาโต๊ะบู ก็ไม่ได้ยากเย็น พอกำลังเหนื่อย ๆ แต่เหงื่อออกแบบสะใจมากมาย เวลาเหนื่อย ก็หยุดชมพันธ์ไม้ ข้างทาง มองเห็นค่าง เห็นลิง เป็นระยะๆ
จนในที่สุด เราก็มาถึงยอดผาโต๊ะบูจนได้ บนยอดผา จะมีศาลาชมวิว ให้ได้ชมวิวทิวทัศน์กัน ข้างบนลมเย็นดีมาก ช่วยพัดพาเหงื่อที่ออกท่วมกาย ได้เป็นอย่างดี
จากจุดชมวิว มองเห็นเกาะจรเข้อยู่ข้างหน้า ตัวเกาะเป็นรูปทรงหัวจระเข้ชัดเจน มองลงไปเห็นที่ทำการอุทยานฯ นี่ถ้ามีการยืนเคารพธงชาติ ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
บนจุดชมวิว เห็นความเขียวชอุ่ม ความอุดมสมบูรณ์ ของต้นไม้ได้เป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่อุทยานฯเล่าให้ฟังว่า ในยุคสมัยหนึ่งของอุทยานฯแห่งนี้ ได้มีการนำโคเลี้ยง มาปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ จนบัดนี้ มันกระจายพันธ์เป็นพันๆ ตัวแล้ว ด้วยความที่มันหากันอยู่แต่บนเขา มันจึงกลายพันธ์มาเป็นพันธ์ที่แข็งแรง เนื้อกระชับ เขาก็จะลู่แบบวัวกระทิง มันชอบอยู่เป็นฝูง เราก็พยายามมองหา เผื่อจะพบเจอฝูงวัวที่ว่า...
นอกจากนี้ ที่ผาโต๊ะบูแห่งนี้ ยังใช้เป็นที่หลบหนีคลื่นยักษ์สึนามิ ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ช่วงเกิดเหตุการณ์สึนามิ ที่นี่ได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากตัวเกาะตะรุเตา อยู่ในเส้นทางที่มีส่วนหัวของเกาะสุมาตรา บังไว้ และตัวเกาะเองก็ตั้งอยู่ในแนวขนานกับคลื่น ไม่ได้อยู่ขวางทางคลื่นเหมือนอย่างเกาะภูเก็ต นั่นเอง...
เป็นอันว่า ทีมงานเราพิชิตผาโต๊ะบู ได้อย่างราบคาบ พร้อมด้วยเหงื่อไหลไคลย้อยกันแบบที่คุณสามี ทนไม่ไหว ขอถอดเสื้อ คลายความร้อน กันเลยทีเดียว..ฮา
ความเขียวชอุ่มมีให้เห็นอยู่ทั่วทั้งเกาะ แม้นพื้นที่บนเกาะมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล แต่ด้วยสภาพที่เป็นเกาะแก่ง ทำให้ยากแก่การขนย้าย ถ่ายเท จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ป่าแห่งนี้ ยังอุดมสมบูรณ์
ความจริงตั้งใจว่า จะรอดูพระอาทิตย์ตกดิน บนผาแห่งนี้ แต่คิดไป คิดมา เดี๋ยวจะมืดเกินไป เสียดายไม่ได้พกไฟฉายขึ้นมาด้วย ช่วงขากลับ เราเดินสวนกับก๊วนฝรั่ง เห็นเตรียมไฟฉายมาเป็นอย่างดี เรื่องแนวผจญภัย ต้องยกให้ฝรั่งเค้าล่ะ
หลังจากหายเหนื่อย เหงื่อแห้ง พวกเราก็พากันลงเขา ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันซักหน่อย...
กิจกรรมยามเย็น
หลังจากลงจากผาโต๊ะบู เราก็พากันไปเล่นน้ำ ช่วงเย็นๆ กิจกรรมยอดฮิตของที่นี่ คือการเล่นน้ำทะเล และการมาดูพระอาทิตย์ตกดิน ที่อ่าวพันเตมะละกาแห่งนี้ ช่วงเย็น น้ำจะลดลงมาก จนเราสามารถเดินเกือบถึงประภาคาร กันเลยทีเดียว เมื่อน้ำลด ก็จะมีปูผุดขึ่้นมา วิ่งเล่นกันมากมาย เดินเล่นดูปูลมก็สนุกดี
นอกจากชายหาดจะเต็มไปด้วยปูลมแล้ว ยังมีเปลือกหอยสวยให้ได้เห็นกัน เปลือกหอยบางส่วน จะถูกจับจองโดยเจ้าปูเสฉวน เดินเล่นที่นี่ นอกจากดูปู จับปูเล่น.. แล้วก็ปล่อย ทำเพื่อทดสอบสมรรถนะของร่างกาย ว่ายังฟิตทันปูหรือไม่..จ้า
ตอนนี้ ทีมงานเรา กำลังกระจายกำลัง ครอบคลุมพื้นที่ เพื่อจะลงเล่นน้ำทะเลกันแล้ว กิจกรรมแรก ว่ายน้ำแข่งกันก่อน...
ตรงประภาคารเริ่ม มีแสงเรืองๆ แล้ว ทัศนวิสัยวันนี้ อาจจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ก็เป็นได้
ตรงประภาคาร เป็นจุดชี้นำร่องน้ำ เรือจะแล่นเข้า แล่นออก ต้องผ่านตรงช่วงประภาคารเสมอ เพื่อหนี กลุ่มหินโสโครก ทำให้เราได้เห็นภาพเรือที่ประภาคารอยู่ตลอดเวลา เป็นภาพที่สวยงามมาก
ยามเย็น นอกจากเราจะมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน เหล่าบรรดานกเงือก ก็ชอบจะมาชมพระอาทิตย์เช่นกัน ทุกเย็นช่วงเวลานี้ เราจะเห็นนกเงือก บินมาอยู่บริเวณชายหาดหลายตัว เข้าใจว่าจะมากินแมลงแถวนี้...
แสงเริ่มเรืองรอง แต่เรือ ก็ยังคงแล่นผ่านประภาคาร ตลอดเวลา..
หลากหลายมุมมอง เมื่อมองไปที่ประภาคาร
ยามแสงเรืองรอง เราก็จะมองเห็นผู้คน เป็นเพียงรูปร่าง บอกเล่าเรื่องราว ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร...
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้า ที่อ่าวพันเตมะละกาแห่งนี้
หลากหลายลีลา บนผืนชายหาดแห่งนี้ บอกเล่าเรื่องราว ผ่านเส้นสาย...
เดียวดาย ยามอาทิตย์อัสดง...
สามชีวิต กำลังถ่ายทอดเรื่องราวผ่านกาลเวลา ผ่านช่วงเวลาแห่งชีวิต ...
ความสงบ จะกลับมาเยือนอีกครั้ง เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน..
พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ช่วงเวลาทไวไลท์ บนผืนหาด ก่อนที่จะมืดมิด.. ความโรแมนติกบนหาดแห่งนี้ มีให้เห็นเสมอมา...
เช้าวันใหม่ มาเยือนอีกครั้ง วันนี้ เราต้องลาจากเกาะตะรุเตาแล้ว..
ทะเลเรียบ เราเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางกลับ สามวันสองคืน บนเกาะแห่งนี้ สร้างความสุข ความสงบ การพักผ่อน ไร้การแก่งแย่ง อยู่กับธรรมชาติ อาหารที่แสนอร่อย ...อิ่ม..เอมใจ
สำหรับเพื่อนๆ ที่รักธรรมชาติ รักความสงบ เกาะตะรุเตาเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมาก ไม่มีแสงสีในยามค่ำคืน มีแต่แสงไฟ จากเรือประมง ที่กำลังไปตกหมึก หาปลา ในยามค่ำคืน ไม่มีเสียงเครื่องคอมเพรสเซอร์แอร์กำลังทำงาน มีแต่เสียงเพรียกร้อง ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย กลางคืนนอนดูดาว เล่าเรื่องราวดีๆ บนชายหาด ... ชีวิตก็มีเพียงเท่านี้... เกาะตะรุเตา สวรรค์สำหรับคนรักธรรมชาติจริงๆ...
** ขอยกย่อง ชื่นชม เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติบนเกาะตะรุเตาทุกท่าน ที่มีอัธยาศัยดี คอยดูแลเอาใจใส่ นักท่องเที่ยว อำนวยความสะดวก ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมให้บริการ ใจดีทุกคนเลย... **
ขอบคุณมากครับ
น่าไปจังเลยนะค่ะ อยากไปเที่ยวบ้างจังค่ะ