เที่ยวพระราชวังต้องห้าม
ที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน แห่งนี้ นอกจากจะเป็นศูนย์กลาง ทางการเ
มืองแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนแล้วแต่ ได้รับการยกย่อง ให้เป็นมรดกโลก ทางวัฒนธรรม ไม่ว่า จะเป็น หอฟ้าเทียนถาน ( ตอนที่ 3 ) , พระราชวังฤดูร้อน ( ตอนที่ 4 ) หรือแม้แต่ กำแพงเมืองจีน ( ตอนที่ 2 ) และอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศจีน นั่นก็คือ พระราชวังต้องห้าม
ตอนที่ 5 พระราชวังต้องห้าม พระราชวังโบราณ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ในวันนี้ เราจะไปเที่ยวพระราชวังต้องห้าม ที่ในอดีตเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์จีน 24 พระองค์ พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้าม ประชาชนทั่วไป ไม่สามารถเข้าไปได้ จึงถูกเรียกว่า พระราชวังต้องห้าม นั่นเอง
ในการจะเข้าไปชม พระราชวังต้องห้าม นั้น จะต้องผ่านจตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งพระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ ของจตุรัสเทียนอันเหมิน เราพักอยู่ที่ย่านเฉียนเหมิน จากที่พักสามารถเดินมาได้ ( แต่ก็เดินเป็นกิโลเมตร เหมือนกัน ) เดินตรงมาเรื่อย ๆ บริเวณรอบๆ จตุรัสเทียนอันเหมิน จะมีสิ่งก่อสร้างสำคัญมากมาย เช่น ทำเนียบรัฐบาล , รัฐสภา ฯลฯ ดังนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณนี้ จะเข้มงวดมาก ไม่ว่าจะเดินไปทางเข้าด้านไหน จะพบด่านตรวจอาวุธ โดยตำรวจ หรือทหารก็ไม่แน่ใจ เพราะใส่ชุดสีเขียว เต็มไปหมด แม้จะช้าบ้าง แต่ก็รู้สึกปลอดภัยดี
ฝั่งด้านขวามือ ของจตุรัสเทียนอันเหมิน ฝั่งนี้ เดินตามเส้นทางต้นสน ไปจนสุดทาง ก็จะพบทางเข้าพระราชวังเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะฝั่งซ้าย หรือ ฝั่งขวา ก็ต้องเดินลอดอุโมงค์ แทนการข้ามถนน เพื่อไปสู่ประตูทางเข้า เหมือนกัน
ในวันแรกเราเดินทาง ฝั่งซ้ายของจตุรัส ต้องเดินข้ามถนน เพื่อไปยังจตุรัสเทียนอันเหมิน มองเห็น ประตูเทียนอันเหมิน อยู่ไกลๆ ช่วงเวลานี้ คนจีนไปทำงานกันหมดแล้ว มีนักท่องเที่ยวเท่านั้น ที่เตร็ดเตร่ กันอยู่ ถนนโล่งมาก เดินข้ามแบบสบายๆ
ถึงแล้ว จตุรัสเทียนอันเหมิน หลังจากเข้าคิว ผ่านด่านรักษาความปลอดภัย ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว บริเวณนี้ มีตำรวจ คอยตรวจตรา สอดส่อง อยู่ทุกที่ ในมุมมองของนักท่องเที่ยวอย่างเรา ก็รู้สึกอุ่นใจดี
รอบๆ จตุรัสเทียนอันเหมิน อันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีสถานที่สำคัญๆ ระดับประเทศมากมาย ตรงนี้คือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ยิ่งใหญ่อลังการณ์ ตามแบบฉบับของจีน
อาคารใหญ่ด้านฝั่งตรงข้าม คือ อาคารรัฐสภา การได้มาเยือนจตุรัสเทียนอันเหมิน ก็เหมือนได้มาเที่ยวหัวใจ ของเมืองปักกิ่ง จตุรัสแห่งนี้นอกจากรายล้อม ไปด้วยสถานที่สำคัญแล้ว ยังเป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสัญญลักษณ์ของเมืองปักกิ่ง ที่ใช้จัดงานเฉลิมฉลองระดับชาติ
บริเวณใจกลางจตุรัส มีจอ LCD ขนาดใหญ่มาก ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดใช้ คงจะทำการเปิด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ เป็นเวลา
ไม่นาน จอ LCD ก็เปิด เข้าใจว่า เป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของกรุงปักกิ่ง คุณสามี ไม่รอช้า รีบเข้าไปถ่ายรูป เป็นที่ระลึกไว้ก่อน
ด้านหน้าประตูเทียนอันเหมิน ซึ่งเป็นประตูทางเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม พื้นที่ตรงนี้ ห้ามเข้า ถูกกั้นด้วยรั้วเหล็ก ก็เลยถ่ายภาพมาได้ โดยไม่มีคลื่นมนุษย์
ส่วนทางด้านขวามือ ถูกตกแต่งด้วยสวนหย่อม ต้นไม้หลากสี สวยงามมาก
ผู้คนหลั่งไหลกันมาทั่วสารทิศ จะเห็นกรุ๊ปทัวร์ ที่มีผู้นำถือธง เดินนำหน้า มีหมด ไม่ว่า จะเป็น ทัวร์ไทย ,จีน , ฝรั่ง สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ ถือเป็นไฮไลท์ ในการทำทัวร์ ทุกทัวร์ จะต้องมา
ต้นคริสมาสต์ สีแดงเฉิดฉาย สวยงามมาก บ่งบอกให้รู้ว่าเทศกาลเฉลิมฉลอง ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ที่แน่ๆ ยังไม่ทันได้เข้าไปชม พระราชวังต้องห้าม ก็เหนื่อยซะแล้ว เพราะแค่จตุรัสเทียนอันเหมิน ก็กว้างใหญ่ไพศาล เดินกันเหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย
ไฮไลท์ ตรงบริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน ถ้ามาแล้วก็ต้องถ่ายรูป เก็บเป็นที่ระลึกไว้หน่อย
ก่อนจะเดินลอดอุโมงค์ เพื่อข้ามถนนไปยังประตูเทียนอันเหมิน ก็ต้องถ่ายรูปกับท่านเหมา เจ๋อ ตุง ท่านผู้นำคนสำคัญของประเทศจีนกันก่อน
ที่ประตูเทียนอันเหมิน มีรูปท่านเหมา เจ๋อ ตุง ประดับไว้ มีคำคมเป็นภาษาจีน ประมาณว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน จงเจริญ
ผ่านประตูเทียนอันเหมิน เพื่อเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม นักท่องเทียวคึกคักดี ถ้าเป็นบ้านเรา ก็นี่เลยวัดพระแก้ว หนึ่งในโปรแกรม ที่นักท่องเที่ยวต้องมาชม
และเมื่อผ่านด่านการซื้อตั๋ว ซึ่งช่วงที่เราไป อยู่ที่คนละ 40 หยวน เดินผ่านประตูแล้ว ประตูเล่า เข้ามา ก็พบกับ ความยิ่งใหญ่อลังการณ์ ของพระราชวังแรก นั่นคือ ตำหนักไท่เหอ ตำหนักที่ถ้าใครเป็นแฟนหนังจีนโบราณ จะต้องได้เห็นฉากความยิ่งใหญ่ ของตำหนักแห่งนี้ อย่างแน่นอน
กล่าวกันว่า การก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ ถือเป็นที่รวบรวมสติปัญญา และความสามารถของคนจีน เมื่อหลายร้อยปี เนื่องจากการก่อสร้างพระราชวังอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา และเทคนิค ระดับสูงของคนจีนในสมัยนั้น ได้เป็นอย่างดี
พระตำหนักไท่เหอ ถือเป็นตำหนักด้านหน้า ที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญที่สุด หลังคาซ้อน 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องสีทอง ซึ่งเป็นสีเฉพาะขององค์ฮ่องเต้เท่านั้น ตำหนักแห่งนี้ใช้สำหรับ องค์ฮ่องเต้ว่าราชการแผ่นดิน และต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ
ความยิ่งใหญ่ ของพระตำหนักไท่เหอ อีกอย่างนั่นก็คือ พระตำหนัก ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาว ยกพื้นสูง ราว 2 เมตร ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็น เมฆ , มังกร และหงส์
หัวมังกรอันสวยงามที่เรียงราย อยู่ตรงแนวรั้วหินหยกนั้น แท้จริงสร้างขึ้นเพื่อเป็นทาง ระบายน้ำ ยามที่ฝนตก แสดงถึงภูมิปัญญา ของช่างคนจีนในสมัยโบราณ ได้เป็นอย่างดี
วัสดุการก่อสร้างที่เป็นหิน ส่วนใหญ่ได้มาจากเขตภูเขา ที่อยู่ห่างไกลจากกรุงปักกิ่ง ราว 200-300 กิโลเมตร ลองคิดดูก็แล้วกัน ว่าการขนส่ง หินที่มีน้ำหนักหลายสิบ หรือ หลายร้อยตัน กว่าจะเดินทางมาถึงกรุงปักกิ่ง สามารถทำได้อย่างไร
พระตำหนักไท่เหอ ถือว่าเป็นพระตำหนักที่มีความพิเศษที่สุด ดังนั้น จึงมีรูปแบบ สถาปัตยกรรมการก่อสร้าง และ การตกแต่ง อยู่ในระดับสุดยอดที่สุด ใน บรรดาพระราชวัง ทั้งหมด
เมื่อขึ้นบันไดหินหยก เข้ามาด้านหน้า พระตำหนักไท่เหอ ตรงด้านข้าง ฝั่งซ้าย จะมี นกกะเรียน และ เต่าโลหะ ตัวใหญ่ ตั้งประดับ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ ของความมีอายุยืนยาว นั่นเอง
ส่วนด้านขวา จะมีนาฬิกาแดดโบราณ และตราสัญลักษณ์ แทนความเที่ยงธรรม ในการปกครองแผ่นดิน
ตรงกลางพระตำหนัก มีบัลลังก์ทองขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในพระตำหนักแห่งนี้ เสาใหญ่ข้างบัลลังก์ เคลือบด้วยทองคำ... ภาพนี้ ต้องยกเครดิตให้คุณสามี ที่ฝ่าวงล้อม ของผู้คนมา...กมาย ที่ต้องการยลโฉม บัลลังก์ทองของฮ่องเต้
กล่าวกันว่า ตามหลักวัฒนธรรมของจีน มังกรเป็นสัญลักษณ์ แห่งอำนาจขององค์จักรพรรดิ ด้งนั้น ภายใน พระตำหนักไท่เหอ จึงได้ตกแต่ง รูปมังกรไว้เป็นจำนวนมาก
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างที่พระตำหนักนี้ คือ กระถางทองเหลืองใบใหญ่ คุณสามีไปยืนใกล้ๆ ก็กลายเป็นคนตัวเล็กไปในบัดดล เมื่อเทียบกับกระถางนี้ นอกจากความสวยงามแล้ว ปรากฏว่า เค้าเอาไว้ใส่น้ำ สำหรับใช้เวลาเกิดเพลิงไหม้
กระถางทองเหลืองนี้ จะถูกวางไว้รอบๆ พระตำหนักใหญ่น้อย นับร้อยๆ ใบ ในพระราชวังแห่งนี้ ในฤดูหนาว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ก็จะมีการจุดไฟไว้ข้างใต้ด้วย ความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์อีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งญี่ปุ่นรุกราน ประเทศจีน ได้ทำการขนลากกระถางทองเหลืองเหล่านี้ ไปหลอมเป็นปืนใหญ่ เพื่อถล่มเมืองจีน หลังสงครามส่วนที่หลงเหลืออยู่ ถูกนำกลับมาไว้ที่เดิม ซึ่งยังคงมีร่องรอยการลากขน ของทหารญี่ปุ่น ปรากฏอยู่บนกระถาง ให้ได้เห็นกัน
จากพระตำหนักไท่เหอ เราออกจากประตูด้านฝั่งซ้าย มองเห็น พระตำหนักจงเหอ อยู่ด้านหลัง จะเห็นว่าพระตำหนัก จะตั้งอยู่แบบ เชื่อมต่อกัน โดยพระตำหนักจงเหอ นี้ ใช้เป็นสถานที่ทรงพักผ่อนอิริยาบถขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่จะเสด็จไปประกอบพระราชกิจ ที่ตำหนักไท่เหอ
ตรงส่วนบริเวณหลังคา จะเห็นรูปปั้นสัตว์มงคลต่างๆ ชนิดและจำนวนของสัตว์ที่อยู่นหลังคานี้ บ่งบอกถึงความสำคัญของพระตำหนัก ยิ่งมีสัตว์มาก ก็ยิ่งสำคัญมาก นั่นเอง
บัลลังก์ฮ่องเต้ ที่ตำหนักจงเหอ จะเล็กกว่า ตำหนักไท่เหอ
ถัดจากตำหนักจงเหอก็คือตำหนักเป่าเหอ ตำหนักเป่าเหอมีความสำคัญลำดับรองจากตำหนักไท่เหอตำหนักแห่งนี้ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับบรรดาขุนนางระดับสูง และยังใช้เป็นสนามสอบ"จอหงวน"เพื่อคัด เลือกขุนนางระดับสูง อีกด้วย บัลลังก์ฮ่องเต้ที่ตำหนักแห่งนี้ จึงดูอลังการณ์ เป็นรองแค่ที่ตำหนักไท่เหอ เท่านั้นเอง
ด้านหลังพระตำหนักเป่าเหอ ตรงบันไดหินทางลง จะเป็นแท่งหินแกะสลักขนาดใหญ่ แบบก้อนเดียวไม่มีรอยต่อ ซึ่งหินก้อนนี้มีน้ำหนักถึง 250 ตัน หินแกะสลักเป็นรูป " 9 มังกรดั้นเมฆ" ที่วิจิตร ตระการตามาก
เมื่อลงจากตำหนักเป่าเหอ ก็เป็นการสิ้นสุด อาณาเขตพระราชวังชั้นนอก อันประกอบด้วยสามพระตำหนัก ไท่เหอ , จงเหอ และ เป่าเหอ ด้านหลังของคุณสามี เป็นตำหนักเป่าเหอ ซึ่งหลังคา เป็น 2 ชั้น เช่นเดียวกันกับ ตำหนักไท่เหอ แสดงถึงความสำคัญ เช่นกัน
จากนี้ไป จะเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งมุมมองจาก พระตำหนักชั้นนอก จะเห็นว่ามีพระตำหนักชั้นใน อีกมากมาย และมีผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถผ่านเข้าไปได้ ซึ่งก็คือองค์ฮ่องเต้ นั่นเอง
ตำหนักน้อยใหญ่ ในพระราชวังต้องห้ามนี้ มีถึง 9,999 ตำหนัก มีประตูวังล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ มีป้อมหอคอย 4 มุม ว่ากันว่า ถ้าจะดูให้ละเอียด ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ กันเลยทีเดียว
ตำหนักที่สำคัญ ก็จะมีการบูรณะ ให้สวยงาม เนื่องจากมีตำหนักใหญ่น้อยมากมาย จึงยังทำการบูรณะไม่เสร็จ หลายตำหนัก จึงยังคงถูกปิดเอาไว้เพื่อรอการปรับปรุง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ 2020
ในปัจจุบันพระราชวังต้องห้ามถือเป็น "โบราณสถานที่ต้องอนุรักษ์เป็นพิเศษระดับชาติ" ของจีน เมื่อปี 1987 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติกำหนดให้พระราชวังต้องห้ามเป็น "มรดกวัฒนธรรมโลก" โดยในชื่อปัจจุบันว่า "พิพิธภัณฑ์กู้กง" นั่นเอง
ตอนที่ 6 เที่ยวสนามกีฬารังนก / เยือนถนนคนเดินเฉียนเหมิน
ละเอียด ได้ความรู้มากเลยค่ะ
ขอบคุณคะ
มีเวลาอยู่ลืมแวะไปเที่ยวบ้างนะคะ
ให้รายละเอียดมากดูแล้วยังกะได้ไปด้วยตัวเอง
ขอบคุณนะคะ ที่แวะมาทักทายกัน
ขอบคุณคุณวิภาพรมากๆ เลยครับ ข้อมูลเป็นประโยชน์มาก
ผมวางแผนไว้ว่าปีหน้าจะพาคุณแม่ไปแม่ไปเที่ยวปักกิ่งเหมือนกัน
เป็นความฝันของคุณแม่ ท่านอยากเห็นกำแพงเมืองจีนครับ
เอส
ทำความฝันของคุณแม่ เป็นจริง ให้ได้นะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอบคุณนะคะ ที่แวะมาทักทายกัน
ยืมข้อมูลไปพรีเซ้นส์รายงานของจีนหน่อยนะคะ^ ^
คุณไปกับทัวร์รึป่าว
.คะ
กำลังหาการบ้าน.......ขอบคุณครับ