บันทึกการเดินทางไปนครวัด นครธม
>> วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555 –
ชวนเพื่อนเที่ยว
จากการที่เราได้นำเสนอ เที่ยวนครวัด นครธม สิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก ที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ จะสามารถสร้างสรรค์มาได้ การได้ไปดู ได้ไปเห็นกับตา เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่วิเศษสุด เหนือสิ่งอื่นใด คืออยู่ใกล้บ้านประเทศไทยของเรา ข้ามชายแดนไปเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เดินทางไปแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงแล้ว... วันนี้ก็เลยนำเรื่องราว การเดินทางมาเล่าให้เพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยวด้วยตนเอง ไว้เป็นข้อมูลสำหรับการเที่ยวชมนะจ๊ะ
ในครั้งแรกเราเดินทางไปกับคุณสามี สะพายเป้ พร้อมกล้องคู่ใจ เดินทางจาก จ.สงขลา หลังจากชั่งใจว่าจะใช้วิธีการเดินทางแบบใหน ที่สุดเราก็ใช้บริการรถไฟไทย นั่งรถไฟ ตู้นอน สายบัตเตอร์เวอร์ต จาก หาดใหญ่ ไป กรุงเทพฯ ด้วยความที่อยากรำลึกความหลัง สมัยวัยรุ่น สองคนตายาย ใช้บริการรถไฟไปเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นประจำ ในวันนี้ ครบรอบเกือบ 10 ปี เราได้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง ... ทุกอย่างเหมือนเดิม...555
เดินทางจากหาดใหญ่ 18.30 น. ถึง 10.30 น. ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นเอง ท่ามกลางความอิ่มเอมในบรรยากาศเก่าๆ เราใช้บริการตู้เสบียงของรถไฟ เป็นทึ่สนุกสนาน กับการโยกและแรงสั่นของรถไฟ
เมื่อถึงหัวลำโพง เราก็รีบไปจองตั๋วรถไฟ ไปอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่ชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา รถไฟเที่ยวต่อไป ที่จะไปอรัญประเทศ คือเวลา ประมาณบ่ายโมงครึ่ง เป็นรถไฟชั้น 3 ทั้งขบวน ช่วงที่เราไปเป็นรถไฟฟรี พอดี เพียงแต่ยื่นบัตรประชาชนเท่านั้น เพื่อแลกกับตั๋ว ไปถึง อรัญประเทศ ตามกำหนดการคือ 5 โมงเย็น เราขึ้นที่ต้นสาย ก็ได้นั่งแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผู้คนก็ขึ้น-ลง ตลอดเวลา ได้ประสบการณ์ชีวิต ได้ชมวิวทิวทัศน์ของภาคตะวันออก ก็เพลินไปอีกแบบ ทำให้ลืมระยะทางอันยาวนาน กว่าจะไปถึง ที่สุด เราก็ไปถึงอ.อรัญประเทศ ในเวลา 19.00 น. โดยประมาณ ...555
ในครั้งที่สอง จากจ.สงขลา เพื่อร่นระยะทาง เราใช้สายการบินราคาประหยัด มาลงที่สุวรรณภูมิ ในเที่ยวเช้าสุด คือเวลา 7.00 น. จากนั้น อาจใช้บริการสายการบินของบางกอกแอร์เวย์ ไปลงที่เสียมเรียบ ซึ่งมีเที่ยวบินบริการทั้งวัน ให้เลือก เรียกว่าออกในทุก 1-2 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
แต่เนื่องจากในครั้งที่สองนี้ เรามากัน 4 คน มีทางเลือก ตรงแท็กซี่ที่สนามบิน เราสามารถเหมาจ่าย ต่อรองราคาไปที่อรัญประเทศได้ ในราคา 3,000-3,500 บาท ก็สะดวกดี ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงอรัญประเทศแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
สำหรับเพื่อนๆ ที่อยู่ภาคเหนือ ภาคกลาง ฯลฯ ก็อาจใช้บริการ รถบขส.ปรับอากาศ ที่หมอชิต ไปอรัญประเทศได้ มีรถโดยสารออกทุก 1 ชัวโมง โดยประมาณ
ในครั้งแรก เราใช้บริการรถไฟไทย ก็เลยถึงซะมืดค่ำ เราพักที่โรงแรมอรัญเมอร์เมด อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ตอนอยู่บนรถไฟ ขณะรอลงรถ ก็เห็นแล้วว่า โรงแรมนี้น่าจะโอเค เราได้เข้าพัก ในราคาคืนละ 900 บาท พร้อมอาหารเช้า มีสัญญาณ wi-fi ให้เล่นเน็ตฟรีด้วย ความจริงเรานั่งรถตุ๊กๆ พานั่งรถเล่นรอบเมือง ในราคา 60 บาท ตะลอนหาโรงแรม ที่นี่มีโรงแรมให้เลือกตั้งแต่ราคา 300 , 500 ,600 บาท ฯลฯ แต่เนื่องจากเรามากันแค่ 2 คน ก็เลยขอพักที่ๆให้ความรู้สึกปลอดภัย ใกล้ๆกับโรงแรม มีร้านอาหารโต้รุ่งอร่อยๆ ให้เลือกมากมาย มีร้านสะดวกซื้อ 7-11 ให้ซื้อกันทั้งคืน มีคิวรถตุ๊กๆ บริการไป ไหนก็ได้ โดยเฉพาะไปตลาดโรงเกลือ ไปชายแดน มีราคาบอกเรียบร้อย อยู่ที่ 80 บาทต่อคัน นั่งได้ 4 คน แบบสบายๆ
รุ่งเช้าหลังอิ่มอร่อยกับบุฟเฟห์ เราก็ให้ทางโรงแรมเรียกรถตุ๊กๆ ไปส่งที่ชายแดนกัมพูชาทันที ใชคดีช่วงที่เราไป ได้มีการยกเลิกการเก็บค่าวีซ่า เข้าประเทศกัมพูชา เราเลยประหยัดไปอีก 1,000 บาท ไปถึงชายแดน ถ้ายังงง เห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ สามารถสอบถามได้เลย หรือไม่ก็สังเกตุ เมื่อรถมาส่ง เราต้องเดินตรงไป ไม่ไกลมากนัก จนกระทั่งถึงทางแยกให้เลี้ยวซ้าย จะมีป้ายบอกประมาณว่า ติดต่อขอทำใบผ่านชายแดน หรือ ด่านตรวจพาสปอร์ตไปกัมพูชา ไปตลอดทาง ป้ายไม่ใหญ่มาก แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจน
เมื่อถึงด่านตรวจ จะมีโต๊ะวางใบ ต.ม 6 หรือ ใบบอร์เดอร์พาส ให้เราหยิบมากรอกให้เรียบร้อย ว่าเราจะไปไหน มาจากใหน ฯลฯ จากนั้นก็ไปต่อแถวในช่องคนไทย นำใบบอร์เดอร์พาส แนบไปกับพาสปอร์ต ให้เจ้าหน้าที่ เมื่อถึงคิวเรา แนะนำว่าถ้าเลือกได้ ไม่ควรมาช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงวันหยุดยาว เพราะคิวจะยาวมาก เนื่องจากคนไทยมักจะใช้บริการบ่อนคาสิโน ที่ฝั่งประเทศกัมพูชา หรือที่เรารู้จักกันดีว่า ที่บ่อนปอยเปต มากถึงมากที่สุด
เมื่อพ้นพิธีการจากฝั่งไทย ทางออกจากด่านไทย จะเป็นทางแคบๆ เมื่อผ่านไปจะมี นายหน้า เอเยนซี่ ฯลฯ มาเสนอบริการมากมาย พูดทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ไปไหน, มีรถแท็กซี่นะ , พักที่ไหน มีให้เลือกนะ ฯลฯ ก็ไม่ต้องสนใจ ให้ข้ามฝั่งไป ชิดขวาอย่างเดียว เพราะด้านซ้ายจะเป็นบ่อนการพนันทั้งหมด...555
เดินมาเรื่อยๆ ประมาณในสายตา เราว่าเป็น 100-200 เมตร กันเลยทีเดียว ก็จะถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา เป็นด่านเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ 1-2 คน และประจำเคาท์เตอร์ตรวจเอกสาร 2-3 คน ก่อนอืน ต้องขอใบ application form ที่เจ้าหน้าที่ เพื่อกรอกข้อมูล ว่าเราจะไปไหน อยู่กี่วัน ฯลฯ กรอกให้หมดทุกหน้า จากนั้นก็ไปยื่นที่เคาท์เตอร์พร้อมพาสปอร์ต เสร็จแล้ว ตอนเดินออกมา อาจจะมีเจ้าหน้าที่ ขอดูพาสปอร์ตอีกครั้ง
เดินออกจากด่านตรวจไม่ไกลนัก ก็ถึง ที่จอดรถไปส่งที่สถานีขนส่งฟรี หรือที่เรียกว่า shuttle bus ถ้ามากันน้อยๆ ก็จะมีรถตู้ไปส่ง ถ้ามาเป็นคณะทัวร์ ก็ได้ใช้บริการรถบัส เมื่อรถไปถึง สถานีขนส่ง ก็จะมีช่องให้ซื้อตั๋วรถแท็กซี่ โดยจะมีราคาติดไว้ ตอนเราไปครั้งแรก ติดไว้ที่ 40 เหรียญดอลล่าห์ ตอนมาครั้งที่ 2 ติดไว้ที่ 48 เหรียญ ขาไปเรียกได้ว่า โดนฟันกันไปเต็มๆ ก็ต้องยอมเพื่อความปลอดภัย ครั้งแรกเอเยนซี่ ยื่นบัตรแนะนำตัวเรียบร้อย มาช่วยต่อรอง พร้อมแนะนำที่พัก ต่อรองได้ราคา 36 เหรียญ แต่สุดท้าย ก็ต้องให้ทิป ไปอีก 100 บาท ก็เท่ากับราคาที่ติดไว้พอดี แถมเจ้าแท็กซี่หัวใส ก็แอบไปรับผู้โดยสาร เพิ่มอีก 1 คน ก็เลยคิดว่า ไม่ต้องไปต่อรอง ยอมใช้ราคาที่ติดไว้นั่นแหละ ดีที่สุด...555
เมื่อได้ตั๋วแท็กซี่ เค้าก็จะถามว่าให้ไปส่งที่ไหน ถ้าใครจองโรงแรมไว้ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็บอกไปตามนั้น อย่าลืมจดเบอร์โรงแรมไว้ด้วย เพราะพี่แท็กซี่ ไม่ได้รู้จักโรงแรมกันทุกคน และอีกอย่าง สองครั้งที่เราไปได้แท็กซี่ ที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย สื่อสารกันไม่ได้เลยจ๊ะ ต้องให้พี่แท็กซี่โทร.ไปถามทางที่โรงแรมกันเอง แต่ถ้าใครไม่รู้จะไปพักที่ไหนดี อาจจะบอกว่าให้ไปส่งที่ตลาดไนท์มาร์เก็ต แล้วเดินหาเกสท์เฮาส์ที่มีมากมาย กันเอง หรือ เรียกใช้บริการตุ๊กๆ ที่มีอยู่เต็มไปหมด ให้พาไปโรงแรมที่เราต้องการ โดยบอกอัตราหรือเรท ไว้ชัดเจน เช่น อัตราอยู่ที่ ไม่เกิน 20 เหรียญ ฯลฯ ก็ว่ากันไป อย่าลืมสอบถามราคาตุ๊กๆ ว่าค่าบริการพาไปเท่าไหร่ด้วยนะจ๊ะ
ถ้าใครไม่รู้จะไปไหนขี้เกียจหา อาจใช้บริการจากโรงแรมที่เราเคยไปพักมาแล้วก็ได้ ไม่ว่ากัน ชื่อโรงแรม side walk hotel ราคาคืนละ 20 เหรียญ มีอาหารเช้า ห้องพักกว้างดี มี wi-fi และเครื่องคอมฯ ให้เล่นฟรี อีกด้วย ผู้จัดการพูดไทยได้ มีต่างชาติเข้าพักตลอดเวลา บรรยากาศดี อยู่ใกล้ตลาดไนท์มาร์เก็ต , ห้างสรรพสินค้าใหญ่ , ร้านเคเอฟซี ฯลฯ ไม่ถึงกับใกล้มากนัก แต่สามารถเดินไปถึงได้สบายๆ ถ้าใครขี้เกียจเดิน เรียกใช้บริการรถตุ๊กๆ จากโรงแรมหรือ เรียกที่หน้าโรงแรม ค่าบริการแค่ 1 เหรียญเองจ๊ะ โรงแรมอยู่ที่ถนนตาพล หมู่บ้านตาพล ถ้าเดินทางมาถึงเสียมเรียบแล้ว ขับตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบปั๊มคาลเท็กซ์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัด ให้เลี้ยวเข้าซอยหรือถนนข้างปั๋มไปเลย เข้าไปประมาณ 200 เมตร อยู่ด้านซ้ายมือ ที่อยู่และเบอร์โทร. Taphul Village, Svaydangkum Commune ,Tel.(855)63 650 5110 / 077 697 670 / 097 848 5487 / 012 921 673 หรือดูข้อมูลได้ที่ http://www.sidewalkneverdie.com/ ถ้าใครไม่ถูกใจ เมื่อขอดูห้องแล้ว เปลี่ยนโรงแรมได้เลย เพราะทั้งซอย มีแต่โรงแรมและโรงแรมจ้า...555
ที่กัมพูชา จะใช้เงินสกุลดอลล่าห์เป็นหลัก เราควรแลกเงินเป็นดอลล่าห์ มาให้เรียบร้อย ไม่ควรแลกเป็นแบงค์ใหญ่ เช่น 100 , 50 เหรียญ เพราะจะใช้จ่ายยาก มีไว้สำหรับใช้จ่ายค่าที่พัก กับค่าแท็กซี่เท่านั้น เวลาท่องเที่ยวจริง ๆ ราคาสินค้าและบริการ สูงสุดอย่างเก่งไม่เกิน 20 เหรียญ ส่วนใหญ่จะใช้ อยู่ที่ 3-4 ดอลล่าห์ เท่านั้น
เมื่อได้เรื่องที่พัก ต่อไปก็ว่าด้วยเรื่องการเข้าชม ทุกโรงแรมจะมีบริการ พาไปเที่ยวชม โดยใช้รถตุ๊กๆ ของโรงแรม ในอัตราวันละ 15 เหรียญ นั่งได้ 4 คน พร้อมน้ำดื่มแช่เย็นให้ฟรี แต่ถ้าไปดูปราสาทที่อยู่ใกลๆ ค่าโดยสารอาจเพิ่มขึ้นอีก เป็น 20-25 เหรียญ ต่อวัน ซึ่งอัตราเหล่านี้ ต่อรองกันได้ ส่วนใหญ่ปราสาทดังกล่าว จะอยู่ในวันที่ 2 , 3 ตามโปรแกรมทัวร์ แต่ที่สุดก็คือ อยู่ที่ว่า เราจะเลือกเข้าชมแบบกี่วัน นั่นเอง
ซึ่งทางเลือกสำหรับการเข้าชม จะมีให้เลือกแบบ 1 วัน คิด 20 เหรียญ , 3 วัน คิด 40 เหรียญ , 7 วันคิด 60 เหรียญ มีปราสาทให้เลือกชม นับร้อยปราสาท แต่ถ้าให้ดี ก็ทำการบ้านมาก่อน ว่าจะเลือกชมปราสาทใดบ้างก็จะดี อย่างไรก็ตาม โดยปกติ ตามโปรแกรมที่แต่ละโรงแรมวางไว้ ก็จะมีไว้แล้วว่า ถ้าเลือกแบบใหน เขาก็จะจัดให้ตามความเหมาะสมอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง สำหรับเราเลือกแบบ 3 วัน เต็มเปี่ยมไปด้วยปราสาทสำคัญๆ แบบครบถ้วนทุกกระบวนความ แต่ถ้าใครไม่มีเวลา ก็เลือก 1 วัน ซึ่งเขาก็จะจัดให้ชมปราสาทที่เป็นไฮไลท์ ให้อยู่แล้ว เรียกได้ว่าไม่ต้องกังวลอะไร สำหรับเรื่องที่ต้องระวังก็คือ ต้องเก็บบัตรเข้าชมให้ดี เพราะทุกปราสาทจะตรวจบัตรในการเข้าชมทุกครั้ง เพื่อนๆที่เลือกแบบหลายวัน ยิ่งต้องเก็บให้ดี ถ้ามีซองพลาสติกใส่ไว้ กันยับ กันหาย กันโดนเหงื่อไหล ฯลฯ จะดีมากๆ
ในการไปเที่ยวนครวัด โปรแกรมยอดฮิต ก็คือการไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่นครวัด ถ้าเพื่อนๆ อยากไปชม อันนี้เราก็ต้องนัดแนะกับ พี่ตุ๊กๆ ให้ดี ว่าจะให้มารับกี่โมง อาจจะให้มารับ ตี 5.00 น. หรือ 5.30 น. ก็ว่ากันไป
สำหรับเรื่องนี้ ไม่ต้องเกรงใจ และไม่ต้องกลัว เพราะนักท่องเที่ยวจะไปชมช่วงเวลานี้กันมากถึงมากที่สุด และพี่ตุ๊กๆ ก็ยินดีจะมาบริการในช่วงเช้าอยู่แล้ว จำไว้ว่ามาเร็ว ก็จะได้ที่นั่งถ่ายรูปช็อตสวยๆ ได้ดี ถ้ามาช้า จะไม่มีมุมให้ถ่ายเลย เพราะคลื่นมนุษย์จะเยอะจริงๆ โดยเฉพาะจุดที่สระน้ำ ที่สามารถเห็นเงาของนครวัด พร้อมปรางค์ทั้ง 5 ยอด สุดๆเลยจุดนั้น ขอย้ำ ใครที่เป็นห่วงเรื่องตั๋วเข้าชม ว่าถ้าไปแต่เช้าตรู่ จะไปหาซื้อตั๋วได้อย่างไร ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย เพราะสถานที่ขายตั๋วเปิดขายกันตั้งแต่ ตี 4 กันเลยจ๊ะ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่า พอมาถึงแล้วไม่รู้จะเดินไปไหน ไปไม่ถูกไปไม่เป็น เพราะเวลาพี่ตุ๊กๆมาส่ง เขาก็จะมาส่งทางด้านหน้า ตรงทางเข้า เราก็เดินไปตรงทางเข้านั่นแหละ จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจบัตร หลังจากนั้น ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ถ้ามาเช้ามากๆ ก็เตรียมไฟฉายไว้หน่อยก็ดี เดินตรงไปเรื่อยๆ ผ่านซุ้มประตู สระน้ำจะอยู่ทางด้านขวามือ หรือไม่ก็เดินตามฝูงชนไป ก็จะพบมุมที่ต้องการได้เอง
เรื่องที่ต้องบอกเล่าเก้าสิบอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องการแต่งกาย ในการไปเที่ยวชม นครวัด นครธม ในแต่ละปราสาท ล้วนแล้วแต่มีความยิ่งใหญ่ อลังการณ์ แทบทั้งสิ้น ดังนั้น ในบางช่วง บางตอน ของการเข้าชม ก็อาจจะต้องปีนป่าย บันได สูงชัน เรื่องเสื้อผ้า รองเท้า ก็ควรให้พร้อมลุย ในเรื่องของการปีนป่าย ด้วยนะจ๊ะ อากาศที่บ้านเค้า ก็เหมือนกับบ้านเรา คือ ร้อน ร้อน แล้วก็ร้อนจ้า...555 หมวก , รองเท้า , เสื้อผ้า ที่เหมาะสม เป็นเรื่องจำเป็น จริงๆ ขอยืนยัน และในบางสถานที่ เช่น บนยอดปรางค์สูงสุด ของปราสาทนครวัด จะเปรียบเสมือนเป็นที่เก็บพระบรมศพฯ ดังนั้น ในการเข้าไปชม จะไม่อนุญาติ ให้ผู้ที่แต่งกายไม่เหมาะสม เช่น กางเกงขาสั้นจุ๊ด... อย่างนี้อดแน่นอนจ้าใหนๆ ก็พูดถึงเรื่องการไปชมบนยอดปรางค์สูงสุด ที่นครวัด ก็ขอเสริมว่า ถ้าเป็นวันพระ ก็จะปิดไม่ให้ขึ้นไปชม ตรง ยอดพระปรางค์ด้วยจ้า ก็ต้องจัดโปรแกรมให้ดี ถ้าไปที่นครวัด อย่าไปตรงกับวันพระ เดี๋ยวจะเสียอารมณ์ นะจะบอกให้...555
ที่นี้ก็มาว่า กันเรื่องอาหารการกิน ก็เหมือนกับเมืองท่องเที่ยว ทั่วไป ที่ราคาค่อนข้างสูงมาก อาหารอย่างละ 3-4 เหรียญ กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะที่ด้านหน้านครวัด นครธม ศูนย์รวมความแพง แต่ก็อย่าไปซีเรียส ถือซะว่ามาเที่ยวก็แล้วกัน สำหรับใคร ถ้าไม่อยากกินที่ร้านอาหาร ก็จะมี ร้านขายขนมปังแบบฝรั่งเศส ที่ประเทศนี้รับเอาไว้เป็นอารยธรรมเต็มๆ ซึ่งรู้จักกันในนาม บาแก็ต ก็จะมีใส้ให้เลือก ว่าจะใส่ใส้อะไร ราคาก็อยู่ที่ 2 เหรียญ เป็นทางเลือก เราก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ก็หนีไม่พ้น เพราะ เจ้าบาแก็ต ถูกจัดให้เป็นอาหารเช้า ในทุกโรงแรมก็ว่าได้ เราก็เลือกกินกะไข่เจียว และซ๊อสพริก ก็ผ่านมื้อเช้าไปได้เช่นกัน...555 แต่อยากแนะนำ ร้านอาหารตรงด้านหน้า ทางเข้านครวัด ให้เลือกร้านคนจีน ที่อยู่ใต้ต้นจามจุรี ให้สังเกตุ ตรงหน้าร้าน จะมีป้าย หรือสัญญลักษณ์ บอกว่า ร้านนี้เป็นคนจีนแน่นอน ให้ไปใช้บริการร้านนี้นะ...อร่อยมาก...กก จริงๆ กว่าเราจะพบ กินของไม่อร่อยตั้งหลายมื้อ โดยเฉพาะเมนู สไตล์ปลาๆ ...สุดยอดเลย
หลังจากเที่ยวกันหนำใจแล้ว คราวนี้มาว่ากันเรื่องเดินทางกลับ ตอนขากลับสะดวกและถูกมาก เพราะทุกโรงแรมมีบริการจองตั๋ว กลับกรุงเทพฯ ในราคาแค่ คนละ 12 เหรียญ เท่านั้นเอง โดยรถจะออกประมาณ 8 โมงเช้า จะมีตุ๊กๆ มารับ ไปรวมพลกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่จุดนัด จากนั้นจะมีรถบัสสีแดง ปรับอากาศ นั่งสบายมาก ไปส่งที่ปอยเปต ถึงประมาณ 11.00 น. แล้วไปต่อรถตู้ ที่รอรับอยู่ฝั่งไทย ไปถึงกรุงเทพฯ ก็ประมาณ 5โมงเย็น โน่นแหละ เตรียมตัว เตรียมใจ กับการนั่งยาวมาราธอนไว้ก็แล้วกัน
ความวุ่นวายทางการเมืองระหว่างประเทศเรา กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ทำให้ใครหลายคนมองข้าม การไปท่องเที่ยวที่นครวัด นครธม เราขอยืนยัน จากการที่ได้ไปเยือนที่เมืองเสียมราฐ มากกว่า 1 ครั้ง ผู้คนที่นี่อัธยาศัยดี ตั้งหน้า ตั้งตาทำมาหากิน เหมือนอย่างเมืองท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ข้องเกี่ยวการเมือง ไม่เลือกสัญชาติ ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวเสมอ มีเวลาอย่าลืมไปเที่ยว นครวัด นครธมนะจ๊ะ เข้าไปดูเรื่องราวการท่องเที่ยวนครวัด ได้ที่นี่เลย เที่ยวนครวัด