เที่ยวลังกาวี



เมื่อหลายปีก่อน เราเคยได้มาเยือน เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ในครั้งนั้นเราเดินทางมากับทัวร์ ไปแบบวันเดียวกลับ มาในวันนี้ เพื่อนเก่าของเรา คือ เจ้าเย พนิดา แห่งห้อง ม.6/7 เพื่อนซี้ปิ๊ก สมัยเรียนที่มหาวชิราวุธฯ มาจุดประกาย ชวนไปเที่ยวที่เกาะลังกาวี อีกครั้ง โดยไม่คาดฝัน.. พวกเราตัดสินใจไปกันแบบไม่มีแผนการอะไรทั้งสิ้น ลุยแบบไปหาเอาข้างหน้า และขณะวันที่เราเดินทาง ฝนฟ้าก็กระหน่ำแบบไม่ไว้หน้า ไม่รักษาน้ำใจ เรียกว่าถ้าใจไม่สู้ คงถอดใจ กันตั้งแต่เริ่มเดินทาง โชคดีที่ฝั่งมาเลเซียอากาศดีมาก วันที่เราไปถึง จึงได้พบกับเจ้านกอินทรีย์ กำลังกระพือปีกต้อนรับผู้คน อยู่บนฝั่งบนเกาะลังกาวี เหมือนจะบอกว่า ยินดีต้อนรับ นักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา...




สองเกลอพร้อมครอบครัว แบกกระเป๋าสะพายเป้ ตลุยเกาะลังกาวี มาด้วยใจ ไปกับดวง..555 เยมาพร้อมกับสามีและลูกๆ อีกสองคน ส่วนเราก็ไปกับคุณสามี ผู้มีความกระหายจะมาเยือนลังกาวี อยู่เนิ่นนานแล้ว วันนี้ เลยสมใจพระเดชพระคุณ กันเลย พวกเราตัดสินใจนอนที่ลังกาวี 1 คืน เพื่อเจาะลึก กันเลยทีเดียว





เราออกเดินทางกันแต่เช้า มาที่ท่าเรือตำมะลัง จ.สตูล เพื่อให้ทันเรือเที่ยวแรก 9.30 น. เพื่อความปลอดภัยมาเช้าไว้ก่อน
พอมาถึงช่องขายตั๋ว เจ้าหน้าที่ยังไม่มา พอดีมีเอเยนซี่ เข้ามาถามว่าไปลังกาวีใช่มั๊ย เราบอกว่าใช่ เค้าก็บอกว่าซื้อตั๋วเรือที่นี่ก็ได้ ราคาเท่ากัน เราก็เลยเข้าไปนั่งคุยกันในร้านที่เป็นเอเยนซี่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับช่องขายตั๋ว มีอยู่ประมาณ 2-3 ร้าน สรุปว่า พวกเราตกลงซื้อตั๋วเรือไป-กลับ พร้อมจองโรงแรม จองแท๊กซี่ สำหรับเที่ยวเกาะลังกาวี เรียบร้อย แถมที่นี่ รับทำ หนังสือ borderpass สำหรับคนที่ไม่มีหนังสือเดินทาง เรียกว่า บริการแบบครบวงจรกันเลยทีเดียว




หลังจากที่พวกเราแสตมป์หนังสือเดินทาง เพื่อออกนอกประเทศเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางด้วยเรือเฟอรี่ขนาดใหญ่พอสมควร ประมาณด้วยสายตาน่าจะจุคนได้ 100-200 คน มีดาดฟ้า สำหรับชมวิวเรียบร้อย เจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม ก็ถึงลังกาวีแล้ว เรือออกเดินทาง 9.30 น. ก็น่าจะไปถึงประมาณ 10.30 น. แต่ว่า เวลาที่มาเลเซีย เร็วกว่าเรา 1 ชม. ก็คงไปถึงประมาณ เกือบเที่ยง...




ภายในเรือมีที่นั่งระบุเลขที่ พร้อมโดยสารแบบปรับอากาศเรียบร้อย มีทีวีให้ดูค่าเวลา ก็ถิอว่าคุ้มค่าสำหรับค่าเรือ ไป-กลับ คนละ 600 บาท ถ้าไม่อยากนั่งๆ นอนๆ ก็ขึ้นไปกินลม ชมวิว บนดาดฟ้าก็ได้ ไม่ว่ากัน ช่วงขาไป ผู้คนจะตื่นเต้น และมักจะอยู่บนดาดฟ้ากันเป็นส่วนใหญ่ แต่พอช่วงขากลับ จะเห็นแต่คนนั่งหลับกันเป็นแถว...555




เกาะยาว เข้าใจว่า เป็นเกาะสุดท้าย ของฝั่งไทย ที่มีผู้คนอยู่อาศัย ก่อนจะเข้าเขตแดนประเทศมาเลเซีย ดูๆไปเกาะแห่งนี้ยังคง เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทุกครัวเรือนประกอบอาชีพชาวประมง ดูแล้วน่ามาเที่ยวมาก




เมื่อเรามาถึงลังกาวี เราก็มองหาแท็กซี่ลังกาวี ที่เอเยนซี่จองไว้ให้ ปรากฏว่าจากที่ตกลงไว้ ตอนแรกที่ เหมานำเที่ยว 2 วัน
เท่ากับ 1,500 บาท เอาเข้าจริงๆ เป็น 2,500 บาท ...555 นึกแล้ว ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เข้าใจว่า เป็นช่วงวันหยุดยาว ผู้คนมาเที่ยวมากมาย ราคาก็เลยเพิ่มขึ้นจ้า ก่อนออกเดินทาง ก็ให้พี่คนขับ ช่วยอำนวยความสะดวก คอนเฟิร์ม วันเวลากลับ ให้เรียบร้อย ตามที่เอเยนซี่สั่งไว้ จากนั้นก็ลุยกันเลย ..สามีเราแอบบ่นนิดหนึ่ง ใหนใครบอกมาเลเซีย ไม่มีรถเก่าไง แท็กซี่เอย รถส่วนตัวเอย เก่าซะ..เห็นๆ 555




สภาพบ้านเมือง ที่เห็นนี่คือ ใจกลางเมืองของเค้าเลยแหละ ถ้าไปนอกเมือง ก็คือบ้านเราดีๆ นี่เอง ...ถ้าไม่เห็นภาษามาเลฯ นะ พวกเรามาถึง กว่าจะหาแท็กซี่ กว่าจะต่อรองราคา ฯลฯ ปา เข้าไปเที่ยงกว่า ก็เลยไปหาของกินกันก่อน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ หิวมากกกก




สรุปว่ามื้อแรกที่ลังกาวี พวกเราก็มาลงเอยกันที่ KFC เจ้านี้นี่เอง...555 ดูแล้วน่าจะ work สุด เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี ผ่านพ้นไปได้อีก 1 มื้อ กองทัพเดินด้วยท้อง เพราะพี่คนขับแกบอกว่า จากนี้เราต้องเดินทางอีกประมาณ 45 นาที กว่าจะถึงเป้าหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้ พวกเราก็เลย ฟาดซะ จนต้องใช้บริการห้องน้ำ ห้องท่า ห้องน้ำที่นี่ ก็ อื้อหือ ดีไซน์ซะโปร่ง ชักโครกเหมือนอยู่บนรถไฟเลย...555




เป้าหมายแรก และ ถือเป็นไฮไลท์ สำคัญ ของการมาเที่ยวลังกาวี ก็คือการมานั่ง กระเช้าลอยฟ้า ชมวิวทั่วทั้งเกาะลังกาวี ที่ว่ากันว่า มาตรฐานการสร้างเข้าขั้นระดับโลกกันเลยทีเดียว กระเช้าลอยฟ้า ตั้งอยู่ใน Oriental Village ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มีแหล่งช้อปปิ้ง , กิจกรรมมากมาย ให้ทำ เพื่อฆ่าเวลา ระหว่างรอขึ้นกระเช้า แต่ทุกอย่างเสียตังค์หมดนะจ๊ะ ถ้าจะใช้บริการ...555




ว่าแล้ว ก็ถ่ายรูปครอบครัวเพื่อนเย มาให้เพื่อนๆ ได้เห็นหน้าค่าตากันหน่อย เริ่มต้น จากคุณพ่อน๊อง , น้องเก้า , น้องก้ามปู และตุณแม่เย จ้า เป็นครอบครัวที่ชอบท่องเที่ยวมากที่สุด ไปไหนไปกันทั้งครอบครัว สุดยอดเลยเย...




ค่าตั๋วขึ้นกระเช้า คนละ 30 ริงกิต วันที่เราเดินทางอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 9.90 บาท ต่อ 1 ริงกิตจ๊ะ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 300 บาท สำหรับเด็กๆ ก็คนละ 20 ริงกิต วันที่เราไป ก็ติดรอบ บ่ายสามโมงพอดี ก็เลยต้องรอไปอีก เพื่อให้พวกรอบเที่ยง ขึ้นกระเช้าให้หมดไปก่อน กระเช้าลอยฟ้าเปิดรอบแรก ตั้งแต่เวลา 9.30 น. ก็คำนวณเวลากันให้ดีๆ บางทีอาจพลาดขึ้นกระเช้าในวันเดียว ก็เป็นได้ ความจริงภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีพร้อมทุกอย่าง ศูนย์อาหารก็มีพร้อม ถ้าไม่อยากเสียเวลา ก็มาหาอะไรกินที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เราว่านะ




ระหว่างรอ เราก็ไปหามุมกล้อง เพื่อถ่ายภาพ ขณะกระเช้ากำลังทะยานขึ้น สู่ยอดเขาสูง และนี่ก็เป็นภาพจากสถานีแรก หรือจุดรับ-ส่ง ที่จะพาเราไปยังจุดสูงสุด และเป็นจุดที่มาส่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเช่นกัน




การขับเคลื่อนของกระเช้าลอยฟ้า ทำโดยฟันเฟืองที่ควบคุมด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ทุกขั้นตอน 1 กระเช้า นั่งได้ 6 คน ห้ามขาด และห้ามเกิน


เบ็ดเสร็จ ทั้งสิ้น มี 3 สถานี สถานีแรกจุดรับ-ส่ง , สถานีที่ 2 เป็นจุดชมวิว จะนำจอดให้ผู้โดยสารชมวิว และถ่ายรูป หรือ เพื่อให้ผู้โดยสารผ่อนคลาย ในกรณีกลัวความสูง , สถานีที่ 3 เป็นสถานีสุดท้าย เป็นจุดสูงสุด อยู่บนยอดเขา มีสะพานแขวนอยู่บนยอดเขา ที่เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไว้ท้าพิสูจน์จิตใจผู้คน




พวกเรารอเวลา จนถึง บ่ายสามโมงครึ่ง สถานีเปิดขายตั๋วเรียบร้อย แต่ปรากฏว่า บนยอดเขามีเมฆดำปกคลุม ประมาณว่าจะมีฝน เค้าก็ให้พวกเรารอไปอีก เพื่อความปลอดภัย น้องก้ามปูและคุณพ่อ ก็ลุ้นกันใหญ่ เฝ้ามองบนยอดเขา ภาวนาให้ลมพัดพาเมฆฝนไป...




เรากับเย ก็เดินเล่นกันทั่วหมู่บ้าน ไม่รู้จะทำอะไรก็ถ่ายรูปฆ่าเวลากันไป



จนในที่สุด เย็นวันนั้น เราก็ได้ขึ้นนั่งกระเช้าลอยฟ้าจนได้ นำชีวิตมาแขวนอยู่บนสายสลิงค์เส้นเดียว ว่าไปแล้วก็เสียวเหมือนกัน แต่มุมมองที่เห็น มันสุดยอดจริงๆ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เหนือคำบรรยายจริงๆ




พวกเราก็เลยออกอาการอย่างที่เห็น ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งหวาดเสียว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาการตื่นตา ตื่นใจ ซะมากกว่า โชคดี ที่กระเช้าของพวกเรา มีแต่พวกเรา เลยออกอาการกันได้เต็มที่แบบสุดๆ ไปเลย แบบว่า..ให้ลืมความเสียว ก็เท่านั้นเอง...555





ยามเย็นของเกาะลังกาวี ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย เรามองเห็นทุกซอกทุกมุมของเกาะแก่งแห่งนี้ มีคนบอกว่าเราสามารถมองเห็นเกาะอาดังได้เช่นกัน..อยู่ตรงไหนน๊า ประเทศไทยของเรา




จากจุดชมวิวสถานีที่ 2 เรามองเห็นสถานีที่ 3 ได้อย่างชัดเจน อีกนิดเดียวพวกเราก็จะพิชิตยอดเขาแห่งนี้กันแล้ว



จากสถานีที่ 2 มองเห็นฟันเฟืองการทำงานของเครื่องจักร ที่ควบคุมการทำงานของกระเช้าลอยฟ้า ได้อย่างชัดเจน ทุกอย่างทำงานโดยอัตโนมัติ มีเพียงเจ้าหน้าที่คอยควบคุม ความเป็นระเบียบของผู้คนอยู่ห่างๆ เท่านั้นเอง




เมื่อไปถึงสถานีสุดท้าย มีป้ายบอกทางเดินไปยัง สะพานแขวน ที่แขวนอยู่บนยอดเขา ดังรูป ท้าทายนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา




ทางเดินลงไปที่สะพานแขวน มองเห็นกระเช้าฯชัดเจน ครอบครัวหรรษา ก็เลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันเล็กน้อย




จากจุดนี้ มองเห็นสถานีที่ 2 ชัดเจนเช่นกัน




และแล้วก็ถึงสะพานแขวนอันแสนเร้าใจ อย่าได้มองไปข้างล่างเด็ดขาด เพราะถ้ามองลงไปแล้ว มันไม่เห็นอนาคต มันวิเวก โหวงเหวงมากกกก ทำเอานักท่องเที่ยวหลายคน ถึงกับขาสั่น ก้าวขาไม่ออก กันเลยทีเดียว แต่ก๊วนพวกเราก็สู้ไม่ถอย เดินไป-กลับ กันได้อย่างปลอดภัย ว่าแล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย ....555



ในเวลานี้ ทั่วทั้งเกาะลังกาวีเริ่มมีแสงไฟ บรรยากาศโรแมนติกมากๆ ถ้ามีร้านอาหารบนนี้ คงได้ใช้บริการแน่ๆ




บรรยากาศยามทไวไลท์ ของเกาะลังกาวี มีหมอกบางๆเจือจางเล็กน้อย อากาศเริ่มหนาวมากยิ่งขึ้น พวกเราเป็นคณะสุดท้ายของทัวร์นาเมนท์นี้ ที่ปิดฉากแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง..สุดยอด




นอกจากนี้ พวกเรายังได้แวะไปที่ สุสานพระนางมัสสุหรี ผู้เป็นชายาของพระอนุชา แห่งองต์สุลต่านลังกาวี พระนางผู้ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ลังกาวีเมืองแห่งคำสาป นั่นเอง




พระนางมัสสุหรี ผู้เลอโฉม ผู้มีเชื้อสายไทย พระนางเป็นคนจังหวัดภูเก็ต โดยกำเนิด แต่เป็นที่ถูกพระทัยของพระอนุชาฯ จึงถูกสู่ขอมาเป็นพระชายาองค์รอง ต่อมาพระนางได้ถูกพระชายาองค์ใหญ่กลั่นแกล้ง ใส่ร้ายว่าพระนางมีขู้ พระนางถูกสั่งให้ไปประหารชีวิต ก่อนถูกประหารพระนางอธืษฐานไว้ว่า หากพระนางบริสุทธิ์ ขอให้เลือดเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพระนาง และขอให้เมืองลังกาวีไร้ตวามเจริญไปเจ็ดชั่วโคตร...




สุสานของพระนางมัสสุหรี มีคำจารึก สรุปใจความว่า..พระนางมัสสุหรี ผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากความอิจฉาริษยา ถูกประหารชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2362 พระนางสิ้นชีวิตลงพร้อมคำสาปแช่งที่ว่า ...จะไม่เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะแห่งนี้ ไป 7 ชั่วอายุคน...





พระตำหนักของพระนางมัสสุหรี ที่สร้างเลียนแบบหลังเดิมที่ทรุดโทรม ภายในยังคงสภาพเดิมสมัยที่พระนางยังมีชีวิตอยู่





ยังคงมีการแสดงภาพพระตำหนักเดิม ให้ได้ชมกันด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการไถ่ถอนคำสาปของพระนาง ได้มีการตามหาทายาทพระนาง ซึ่งพี่ชายพาหนีล่องเรือไปอยู่ที่เกาะภูเก็ต จนกระทั่งได้พบเจอทายาทลำดับที่ 7 และทางรัฐบาลมาเลเซีย ได้เชิญกลับสู่เกาลังกาวี และมอบพระอิสริยยศ ให้เป็นเชื้อพระวงศ์ทันที หลังจากที่ทายาทของพระนางได้มาเยือนเกาะลังกาวี เกาะลังกาวีก็มีความเจริญรุ่งเรือง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญระดับประเทศ นั่นเอง





ว่าแล้ว สองเกลอ ก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าได้มาเยือน พระตำหนักพระนางมัสสุหรี เป็นที่เรียบร้อย




เป้าหมายสุดท้าย ก็คือการไปช้อปปิ้ง ที่ศูนย์การค้าที่เป็นดิวตี้ฟรี ปลอดภาษีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่าซื้อเพื่อเป็นการค้านะจ๊ะ เพราะสุดท้ายเราต้องผ่านจุดตรวจศุลกากร ช่วงขาเข้าประเทศไทยนะจ๊...





สินค้าที่ขึ้นชื่อว่าถูกแน่นอน คือ พวกถ้วยโถ โอชาม ช้อนส้อม จานชามเซรามิค ถูกกว่าบ้านเราครึ่งต่อครึ่ง เรายืนยัน เพราะเราชอบไปเดินดู จานชาม เซรามิค ตามห้างสรรพสินค้ามาก ถูกจริง แต่นั่นแหละ ชอบดูซะมากกว่า...555




และอีกอย่าง ตือ พวกช็อคโกแลต แสนอร่อย ทุกร้านจะมีมุมช็อคโกแลตโดยเฉพาะให้ช้อปกัน แบบอลังการณ์งานสร้าง เพื่อนเยยืนยันมาว่า ถูกกว่าบ้่นเราแน่นอน จ้า




ย่านดิวตี้ฟรี อันนี้เราให้พี่โชเฟอร์พามาโดยเฉพาะ ความจริงบริเวณที่เราพักก็มี ราคาก็ไม่ต่างกัน แต่ละแวกนี้ มีขอ
งให้เลือกมากกว่า




ไม่ไกลจากดิวตี้ฟรี ก็ถึงท่าเรือ ระหว่างรอเวลาเรือออก พวกเราก็มาถ่ายรูปเจ้านกอินทรีย์ กันอีกครั้ง




นกอินทรีย์ผู้ยิ่งใหญ่...




ตรงบริเวณอีเกิล สแควร์ นักท่องเที่ยวมากมาย แต่เราชอบมุมมองจากไกลๆ มากกว่า



เจ้านกอินทรีย์ เชื่องซะแล้ว เมื่ออยู่ในมือเรา...555 เที่ยวลังกาวีแสนสนุกสุขสันต์ มาเที่ยว เพื่อให้รู้ว่า บ้านเมืองเพื่อนบ้าน เค้าเป็นอย่างไร พอไป จึงได้รู้ว่า ประเทศของเรา โชคดีเหลือหลาย มีธรรมชาติที่สวยงาม มากมาย ชนิดที่เพื่อนบ้านต้องอิจฉา ทะเลบ้านเราสวยที่สุดแล้วจ้า....รักนะประเทศไทย

แสดงความคิดเห็น

Related Posts with Thumbnails