สู่แดนปรินิพพาน..ตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้า (5)
วันนี้เราได้เดินทางมาถึงเมืองกุสินารา สังเวชนียสถานแห่งการอาลัย.. สู่แดนปรินิพพาน หลังจากที่ได้ไปสักการะบูชา สังเวชนียสถานที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงปฐมเทศนา ที่สารนาถ หรือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน...ตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้า(4) มาแล้วนั้น จากเมืองสารนาถ มาถึงเมืองกุสินารา ระยะทาง 276 กิโลเมตร ใช้เวลา 7-8 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่ยาวไกลมาก พระอาจารย์ประพาสฯ พระธรรมวิทยากร ได้พูดให้เราตระหนักไว้ว่า... ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกด้วยพระบาทเปล่ามาที่ เมืองกุสินารา ใช้เวลาถึง 90 วัน พระองค์ทรงลำบากกว่าพวกเรามาก... เรากำลังเดินตามรอยพระบาทพระพุทธองค์ พระท่านว่าให้นำความลำบากมาประดิษฐ์ เป็นดอกบัวทองไปกราบพระบาทพระพุทธเจ้าที่แดนปรินิพพาน...
เมืองกุสินารา เป็นสังเวชนียสถานที่พระพุทธเจ้าโปรดเลือก เป็นที่ปรินิพพานด้วยพระองค์เอง สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ในพระราชอุทยานของกษัตริย์มัลละพระองค์หนึ่ง ที่เรียกว่า สาลวโนทยาน ซึ่งแปลว่า สวนป่าไม้สาละ เป็นป่าไม้สาละอันสงบร่มรื่น ในปัจจุบัน คือ มหาปรินิพพานวิหาร เพื่อเป็นอนุสติถึงพระพุทธองค์...
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดสินพระทัยเลือก สาลวโนทยานนี้เป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์เสด็จประทับบรรทมสีหไสยาสน์ ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ ผินศรีษะไปทางเหนือระหว่างไม้สาละคู่นั้น...มหาปรินิพพานวิหารถูกสร้างคร่อมสถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน สังเวชนียสถานแห่งเมืองกุสินารา...นั่นเอง
เมื่อเราเข้าสู่พุทธวิหารปรินิพพาน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นพระนอนปางปรินิพพาน พระพุทธไสยาสน์ปางปรินิพพาน ขนาดความยาว 23 ฟุต 9 นิ้ว เป็นพระปฎิมากรรมที่งดงามสมส่วน นี่คือพระพุทธองค์ของเรา
พระปฎิมากรรมที่งดงาม ดวงตาหรี่ลงเกือบหลับสนิท สีหน้าแสดงความหมดกังวลทุกอย่าง ก่อนจะเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งเป็นปัจฉิมวาจากับภิกษุทั้งหลายว่า.."บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" นี่เป็นพระวาจาสุดท้ายของพระพุทธองค์
เสียงสวดมนต์ ประกอบกับกลิ่นควันธูป และภาพที่ปรากฎเบื้องหน้า ราวกับว่าพระปฎิมากรรมนี้เป็นพระบรมศพจริงๆ ปฎิมากรรมชิ้นนี้ สร้างได้สมสัดส่วนสมจริง พวกเราชาวพุทธที่ได้มากราบไหว้ ต่างรู้สึกเหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าเพิ่งจากเราไป เมื่อสักครู่นี่เอง...
พวกเรานำผ้าจีวรสีทองเหลืองอร่ามมาน้อมคลุมถวายเป็นพุทธบูชา ผ้าคลุมยาวลงแค่พระบาท ส่วนพระพักตร์ก็ปิดแค่พระศอ เหมือนดั่งภาพพระบรมศพจริงๆ เมื่อถวายเสร็จ เรานั่งข้างพระบาท นึกถึงพระวาจาสุดท้ายของพระพุทธองค์...สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด... เราก้มกราบแทบพระบาท น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว...
ที่ฐานพุทธปฎิมากรรม เป็นรูปปั้นของปัจฉิมสาวก พระอรหันต์องค์สุดท้ายที่ทันเห็นพระพุทธองค์ ตามดูพระพุทธองค์จนเข้าสู่ปรินิพพาน
พวกเราเวียนเทียนประทักษิณาวรรต รอบพระมหาปรินิพพานของพระพุทธองค์
ในวันนั้นไม่เพียงแต่ชาวไทยพุทธอย่างพวกเรา ยังมีชาวเกาหลีพุทธ เดินทางมานับร้อย นับพันชีวิต เพื่อมาน้อมสักการะบูชาพระพุทธองค์
นอกจากนี้ ยังมีคณะชาวพุทธจากประเทศอังกฤษ ได้มาน้อมสักการะสังเวชนียสถาน ซึ่งพวกเขาเล่าว่า ขณะนี้พุทธศาสนากำลังเจริญเติบโต อย่างมากในทวีปยุโรป เราได้ฟังแล้วปลื้มใจเป็นที่สุด...
นอกจากนี้ที่กุสินารา ยังมีพุทธสถานที่สำคัญคือ มกุฏพันธนเจดีย์ เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งมัลละกษัตริย์ได้ยกที่ประกอบพิธีอภิเษก ในการเข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐบาล เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ โดยตั้งเชิงตะกอนขึ้นในบริเวณมกุฎพันธเจดีย์ นั่นเอง
หลังจากนั้นจึงก่อพระสถูป ณ ที่ ถวายพระเพลิงนั้น กลางทาง 4 แพร่ง... ซึ่งปัจจุบันเป็นซากเจดีย์ ทรงกลมขนาดใหญ่ ให้ได้สักการะบูชากัน
พวกเราสวดมนต์ บูชา สักการะ นั่งเจริญภาวนา รำลึกถึงพระพุทธเจ้า
ในพระพุทธประวัติกล่าวว่า องค์มัลลกษัตริย์ อัญเชิญพระพุทธสรีระ ขึ้นสู่เชิงตะกอน ที่มีไม้แก่นจันทน์สูงถึง 120 ศอก แล้วก็จุดเพลิง
สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งพระพุทธสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศลตลอด 7 วัน มีมหาชน เทวดา พรหม มาประชุมกันมากที่สุด
พวกเราเวียนเทียน กระทำประทักษิณาวัตร รอบ มกุฎพันธนเจดีย์ บูชาพระพุทธองค์แล้ว ติดทองอธิษฐานขอพรจากพระพุทธองค์...
พวกเราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พระท่านว่า การได้มาเยือนสังเวชนียสถานที่กุสินารา สถานที่ปรินิพพาน จะทำให้ได้อายุยืนยาว ป่วยหาย ได้มรดก ยกฐานะ มีทรัพย์นับไม่ถ้วน ได้พ้นจากเครื่องเสียดแทงการทำร้าย...สาธุ
ที่กุสินารา พวกเราพักที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของ สาลวโนทยานที่เสด็จปรินิพพานกับมกุฎพันธนเจดีย์ ที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ วัดแห่งนี้ พุทธบริษัทชาวไทย ร่วมใจกันสร้างขึ้น เพื่อน้อมเป็นพุทธบูชา และเฉลิมพระเกียรติการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในดินแดนพุทธภูมิ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานชื่อวัด และพระราชทานนามพระพุทธรูป องค์พระประธานในพระอุโบสถว่า พระพุทธสยัมภูญาณ ที่วัดไทยกุสินาราฯ พวกเราร่วมทำบุญทอดผ้าป่า อิ่มบุญ กุศล กันทั่วหน้า
บรรยากาศรอบๆ บริเวณวัดไทยกุสินาราฯ มีทุ่งนา ให้เห็น สบายตา สบายใจ
เราเดินตามท้องถนนมาเรื่อย หาร้านค้า เผื่อจะได้ของฝากจากเมืองกุสินารา กลับเมืองไทย
ร้านผลไม้ สไตล์อินตะระเดีย..ผลไม้เมืองหนาว น่ากินมาก
เด็กน้อยน่าตาน่ารัก โตขึ้นต้องหล่อระดับพระเอกหนังอินเดียแน่นอน...คอนเฟิร์ม...555
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราต้องเผชิญกับ ความหนาวเหน็บ ระดับ 3 องศาเซลเซียส หมอกลงจัด ทำให้ผู้เฒ่า ผู้แก่ หลายคน เป็นหอบ และความดันขึ้นสูงจนน่าใจหาย โชคดีที่ใกล้ๆกับวัดไทย มีสถานพยาบาล กุสินาราคลีนิค ตรวจรักษาฟรี ให้กับผู้คนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีคุณหมอไทย , เภสัชกรไทย ประจำอยู่ตลอดเวลาโดยได้รับความอุปถัมภ์จากรัฐบาลไทย ภายใต้การดูแลของสถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงนิวเดลลี พวกเราโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จึงใคร่ขอขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้
ในตอนต่อไป พวกเราจะเดินทางไปประเทศเนปาล เดินทางสู่ลุมพินี เพื่อนมัสการสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า อย่าลืมติดตามนะจ๊ะ