ท่องเมืองพาราณสี ...ตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้า (4)



จากรัฐพิหาร ที่ซึ่งเราได้ไปน้อมสักการะบูชา สังเวชนียสถานที่พุทธยา ตามรอยพระบาทพระพุทธเจ้า (3) มาแล้วนั้น ในวันนี้ เราออกเดินทางสู่เมืองพาราณสี สู่รัฐอุตรประเทศ รัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เราได้พบกับวิถีชีวิตของชาวอินเดีย และบรรยากาศชนบทตามสองข้างทาง และที่สำคัญที่สุด เราจะได้ไปสักการะบูชาพระพุทธเจ้า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สังเวชนียสถานที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ นั่นเอง...



เราใช้เวลาเดินทางจากรัฐพิหาร เข้าสู่เมืองพาราณสี รัฐอุตรประเทศ ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ด้วยระยะทาง 250 กิโลเมตร แม้การเดินทางจะใช้เวลานาน แต่บรรยากาศสองข้างทาง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ประเทศอินเดียเป็นประเทศเกษตรกรรม ดังนั้นเมื่อเราเดินทางมาแถวชนบท ก็จะได้พบกับการทำเรือกสวนไร่นา คล้ายๆ อย่างบ้านเรา ให้เห็นตลอดเส้นทาง



หากไม่ใช่ทุ่งนา ก็เป็นทุ่งหัวไชเท้า สลับกันไป นอกจากนี้ เกษตรกรที่นี่ ยังนิยมปลูกต้นตาลไว้ที่คันนา เหมือนบ้านเมืองเราเช่นกัน ต้นตาลในอินเดียปลูกกันมานมนาน สมัยก่อน พระภิกษุสงฆ์ นำใบตาลมาใช้ประกอบการสวดมนต์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า ตาลปัตร นั่นเอง



เรามาเยือนอินเดีย ในช่วงฤดูหนาว เป็นช่วงที่ดอกมัสตาร์ด บานเหลืองอร่าม ไปทั่วท้องทุ่ง เกษตรกรชาวอินเดีย นิยมปลูกต้นมัสตาร์ดมาก เข้าใจว่า มากพอๆกับ ปลูกข้าวกันเลยทีเดียว เมล็ดดอกมัสตาร์ด จะถูกนำมาสกัด เป็นน้ำมัน เป็นเครื่องเทศ เป็นเครื่องปรุง สำหรับอาหารชาวอินเดีย และยังเป็นที่ชื่นชอบของฝรังตาน้ำข้าวอีกด้วย



จากรูปบน ที่มองเห็นเป็นแผ่นกลมๆเรียงซ้อนกันอย่างสวยงาม นั่นคือ "ขี้วัว" ที่ชาวอินเดียทุกที่ ทุกเมือง มองเห็นเป็นสิ่งมีค่า มีประโยชน์มากมายสำหรับพวกเค้า แทบทุกบ้าน จะนำขี้วัวมาปั้น เป็นแผ่นๆ วางตากแดด ไว้ทั่วทุกที่ ไม่ว่าจะในเรือกสวนไร่นา หรือ หน้าบ้านก็ตามที บ้านเราอาจจะมองเห็นประโยชน์แค่การเป็นปุ๋ยคอก แต่คนอินเดีย มองเห็นมากกว่านั้น เพราะขี้วัว สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง , เป็นกาวปิดรอยรั่วตามผนังบ้าน ฯลฯ จึงไม่แปลก ที่สองข้างทางเรามักจะมองเห็น การนั่งปั้นขี้วัว ที่กลายเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ก็ว่าได้



เมื่อรถเริ่มเข้าสู่ตัวเมือง บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป



ความวุ่นวายจอแจ แบบท้องตลาดทั่วไป ในสไตล์อินเดีย มีมาให้เห็นอีกครั้ง



ตาชั่งสไตล์คนอินเดีย หมดสิทธิ์โกงตาชั่งแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์



ผลิตผลจากมะพร้าว เข้าใจว่าน่าจะขายเป็นของกินเล่น...ยามบ่าย...555




ผลไม้สดๆ น่ากิน ทับทิมอินเดีย แดงดีสีไม่ตกจ้า...



พาหนะยอดนิยม ทุกบ้านต้องมีใช้...


เท่ห์ได้ ทุกที่ ทุกเวลา



ระหว่างทาง ที่เรารอคนมารับไปล่องเรือชมแม่น้ำคงคา พบแต่พาหนะคู่ใจ จักรยานคนจน...



เมื่อเรามาถึงเมืองพาราณสี เป็นเวลาใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้ว จุดมุ่งหมายแรกของการมาเยือนเมืองนี้ ก็คือการมาล่องเรือชมแม่น้ำคงคา สายธารอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู พวกเราเดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง ใต้สะพาน เพื่อไปลงเรือ



พวกเรานั่งเรือล่องชมแม่น้ำคงคา ในยามค่ำคืน เพื่อมาชมพิธีบูชา คงคาอารตี ที่ท่าน้ำตัสวเมศ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่ความสำคัญมากของแม่น้ำคงคาจุดหนึ่ง ในเวลาพลบค่ำจะมีพิธีการบูชาพระแม่คงคา ด้วยการจุดประทีปลอยกระทงดอกไม้สด ลงสู่..แม่น้ำคงคา ตามคติของพราหมณ์ ที่ถือว่าน้ำมีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติ มีคุณต่อโลกมหาศาลควรค่าแก่การบูชา จึงยกให้แม่น้ำคงคาเป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำ

ท่าน้ำคงคาเมืองพาราณสี มีทั้งปราสาท ราชวังมหาราชา มีท่าน้ำ 84 ท่า มีการใช้น้ำเพื่อการล้างบาป ดื่มกิน พร้อมเผาศพอยู่ใกล้เคียงกันริมฝั่งคงคา ในวันที่เราไปมีการเผาศพราว 10 กว่าศพ กลิ่นไหม้คลุ้งกระจาย ชวนให้ขนหัวลุก อย่างบอกไม่ถูก ในปัจจุบันรัฐบาลอินเดีย มีการขอร้องไม่ให้ถ่ายรูปพิธีกรรมดังกล่าว เพื่อภาพพจน์ที่ดีของชาวอินเดีย

ที่ท่าน้ำริมฝั่งคงคา จะมีโรงแรมมากมาย แต่เป็นโรงแรมสำหรับผู้คนที่เตรียมตัวจะตาย ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ โรงแรมเหล่านี้ มักจะถูกจองจนเต็ม ด้วยความเชื่อที่ว่า หากได้มาตายที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาแห่งนี้ จะได้ขึ้นสวรรค์ทันที... เวลามองไปที่โรงแรมเหล่านั้นเห็นไฟสลัวๆ ในแต่ละห้อง ในยามค่ำคืนนี้ ทำให้บรรยากาศบนเรือเงียบสงัด แทบจะได้ยินเสียงหายใจกันเลยทีเดียว....




พวกเราพักค้างคืน ที่วัดไทยสารนาถ ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อมาทอดผ้าป่าที่วัดไทยในอินเดีย และเนื่องจากวัดไทยแห่งนี้ อยู่ใกล้กับป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สามารถเดินไปได้อย่างสบายๆ นั่นเอง



เช้านี้ อากาศยังค่อนข้างหนาว พวกเรานัดหมายพร้อมกันแต่เช้า เพื่อทำการทอดผ้าป่า



พวกเราเข้านมัสการองค์พระพุทธรูป และทำพิธีทอดผ้าป่า อิ่มบุญกุศล กันถ้วนหน้า



จากนั้นพวกเราก็เดินเท้า ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สังเวชนียสถานที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ เมื่อวันเพ็ญอาสาฬหมาส




ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ เหตุที่เรียกว่า สารนาถ อันเนื่องมาจาก คำว่า สารนาถ มาจาก "สารังคนาถ" ที่แปลว่า พื้นดินเป็นที่พึ่งของสัตว์ คือ กวาง ในยุคนั้น สำหรับยุคนี้ก็หมายถึง ที่พึ่งอันประเสริฐของมวลมนุษย์ จากการที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่มหาชนทั้งหลาย นั่นเอง



สารนาถในสมัยพุทธกาล หรือที่เรียกกันว่า ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งแปลว่า ป่ากวาง หรือ ป่าอันยกให้กับหมู่กวาง สถานที่แห่งนี้เป็นที่สงบ เป็นแหล่งชุมนุมของบรรดาฤาษี และนักพรตต่างๆ เพื่อบำเพ็ญตบะ รวมถึงเหล่าปัญจวัคคีย์ ที่ปลีกตัวหนีมาจากเจ้าชายสิทธัทถะ ที่ในตอนนั้นปัญจวัคคีย์เชื่อว่า ไม่มีทางตรัสรู้ได้...



ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันร่มรื่น พระพุทธเจ้าเดินทางมาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันแห่งนี้ เพื่อทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์



พระอาจารย์ประพาส ฯ ได้บรรยายไว้ว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นบุญสถานของผู้แสวงบุญที่มาจาริกไหว้พระ สวดมนต์ ด้วยสำคัญว่าเป็นที่ กำเนิดสังฆรัตนะ อันเนื่องมาจาก พระอัญญาโกณทัญญะ แห่งปัญจวัคคีย์ ได้ดวงตาเห็นธรรม หลังจากสดับพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" เมื่อวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ท่านโกณทัญญะ ได้กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท ต่อพระบรมศาสดา เป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา เกิดเป็นพระรัตนตรัยขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก นั่นเอง



ที่สารนาถ มีกุฎิอยู่มากมาย โดยเฉพาะ หมู่คันธกุฎิของพระพุทธเจ้า คำว่า คันธกุฎิ แปลว่า กุฎิที่มีกลิ่นหอม เป็นชื่อเรียก สถานที่ประทับของพระพุทธเจ้า เรียกเต็มว่า พระคันธกุฏิ ในพุทธประวัติเล่าว่า สถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าทุกแห่ง จะมีผู้นำของหอม มาถวาย เช่น ไม้หอม , ดอกไม้หอม ฯลฯ มิได้ขาด นั่นเอง



มูลคันธกุฎิ กุฎิหลังแรก ที่พระพุทธองค์จำพรรษา เป็นพรรษาแรก หลังจากตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ลักษณะเป็นอาคารปลูกสร้างแบบอินเดียโบราณ มีรูปร่างทางสถาปัตยกรรมให้เห็นเป็นที่สะดุดตา ตามลักษณะเป็นศิลาทรายสลับด้วยอิฐก่อปูน



และในที่ใกล้ๆ กัน พบเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช สูง 50 ฟุต ที่ถูกทุบทำลายหักออกเป็น 4 ท่อน ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี บนเสาหินนี้มีสิงห์อโศก ที่แผ่สีหนาทไปทั่ว 4 ทิศ เป็นโบราณวัตถุที่สำคัญ ขณะนี้ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งหัวสิงห์นี้ ประเทศอินเดียใช้เป็นตราประจำชาติ ในปัจจุบัน



ภายในบริเวณสารนาถแห่งนี้ มีธัมเมกขะสถูป เป็นพุทธสถานที่ใหญ่ที่สุด และ สำคัญที่สุด เป็นสถานที่ทรงแสดงธรรมจักรกัปวัตนสูตร ประกาศพระสัจธรรมครั้งแรกที่นี่ ถือเป็นสังเวชนียสถาน 1 ใน 4 แห่งของชาวพุทธ ลักษณะเป็นสถูปโบราณทรงคว่ำก่อด้วยหินทราย มียอดกรวยสูงประมาณ 80 ฟุต วัดโดยรอบประมาณ 120 ฟุต สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช



สถูปแห่งนี้งดงาม ด้วยศิลปกรรม แนวพุทธศิลป์




รอบสถูปทั้ง 8 ช่อง อดีตเคยมี พระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ครบ




พุทธสถานแห่งนี้ เป็นหนึ่งในสี่ของสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่พระพุทธองค์ตรัสเชิญชวนให้ พุทธบริษัทได้เข้าใกล้ทั้งกายและใจ เพื่อให้เกิดความสังเวช อันเป็นเครื่องนำพาไปสู่ความเจริญ



พวกเรา และนักแสวงบุญ มาเวียนเทียนประทักษิณ สวดมนต์ไหว้พระกันที่นี่ เพราะว่า ที่แห่งนี้ เป็นบริเวณที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา ได้มาไหว้พระสวดมนต์ สักการะบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ พระท่านว่า เราจักได้ บริวาร เป็นมิตร ปิดศัตรู , ได้ความไม่วุ่นวาย ไม่ขัดข้อง และได้ดวงตาเห็นธรรมอันล้ำเลิศ...สาธุ

ในวันพรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปกุสินารา เพื่อเข้าสู่สาลวโนทยาน ดินแดนแห่งการอาลัย....อย่าลืมติดตามนะจ๊ะ

แสดงความคิดเห็น

Related Posts with Thumbnails