เที่ยวสิงคโปร์..ด้วยตัวเอง
สิงคโปร์ ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก ประเทศหนึ่งก็ว่าได้ แม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่กลับมีฐานะทางเศรษฐกิจ ที่มั่งคั่ง ร่ำรวยมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง เป็นประเทศที่เจริญแล้ว หรือพัฒนาแล้ว เพียงประเทศเดียว ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ อยู่ใกล้กับประเทศไทยเราแค่นิดเดียว นักเดินทางอย่างพวกเรา จึงต้องไม่พลาด ที่จะไปหาประสบการณ์ เรียนรู้ เรื่องราว จากประเทศบ้านใกล้ เรือนเคียงในภูมิภาคเดียวกัน การเดินทางครั้งนี้ เราเดินทางด้วยตัวเอง และพร้อมจะแบ่งปันข้อมูลการเดินทาง ให้เพื่อนๆนักเดินทางทั้งหลาย มาเก็บเกี่ยวข้อมูล เพื่อใช้ประกอบการเดินทาง โดยเราได้ ทำการบันทึกการเดินทางโดยละเอียดไว้ที่ บันทึกการเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์..ด้วยตัวเอง เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านได้ ในลำดับต่อไป
ตอนที่ 1 ท่องเที่ยวแถวอ่าวมารินาเบย์ : Marina Bay
การเดินทาง นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Marina Bay แล้วเปลี่ยนรถไฟฟ้านั่งต่อไปยัง สถานี Bayfront เพียงแค่สถานีเดียวก็ถึง Bayfront เมื่อลงจากรถไฟฟ้า จะมีป้ายบอกทางไป Marina Bay ชัดเจน เป็นระยะ ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่อาคาร Marina Bay Sand และเมื่อเดินออกจากอาคารมารินาเบย์ ก็จะพบอ่าวมารินา นั่นเอง
สถานที่ท่องเที่ยวในสิงคโปร์ ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ และ สวยที่สุด คงหนีไม่พ้น แหล่งท่องเที่ยว แถวอ่าวมารินาเบย์ ซึ่งเมื่อเราผลักประตูออกจากอาคาร Marina Bay Sand ภาพที่จะได้เห็นภาำพแรกคือ กลุ่มตึกใหญ่โตมากมาย ที่สะท้อนให้เห็น ถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งตึกที่เรามองเห็นอยู่เบี้องหน้านี้ เกือบทั้งหมด เป็นธนาคาร
ที่อ่าวมารินาแห่งนี้ แต่เดิมเป็นอ่าวเล็กๆ เป็นย่านการค้าที่สำคัญ แต่ปัจจุบันถูกถม เพื่อเพิ่มเติมพื้นที่ ในการสร้างภูมิทัศน์ให้สวยงาม และเป็นทำนบกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำทะเลไหลย้อนเข้าสู่แม่น้ำสิงคโปร์ อ่าวมารินาจึงกลายเป็นแหล่งกักเก็บน้ำจืด ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการใช้น้ำของประเทศได้เป็นอย่างดี
จากอ่าวเล็ำกๆ กลายเป็นทำนบกั้นน้ำ นอกจากจะได้ประโยชน์ใช้สอย ยังเป็นพื้นที่พักผ่อน หย่อนใจ ของชาวสิงคโปร์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะต้องมาชม รอบๆ อ่าวมารินาแห่งนี้ จะประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ มากมาย และหนึ่งในนั้น คือ โรงละคร The Esplanade หรือที่คนไทยเรียกว่า ตึกทุเรียน สถานที่แสดงคอนเสริตท์ระดับโลก...
เราเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเดิน ที่ปูด้วยไม้ ข้างทางเต็มไปด้วยพันธ์ไม้ เขียวขจี เราเดินทางมาถึงที่อ่าวมารินาแห่งนี้ประมาณ 10 โมงเช้า นักท่องเที่ยวยังน้อย เราและคุณสามี เดินไปตามทาง นานๆ จะมีนักท่องเที่ยวเดินสวนมา
เดินไปตามเส้นทางเดิน และเมื่อแหงนมองขึ้นไป จะพบกับตึกเรือใบ แหล่งคาสิโนแห่งใหม่ ใหญ่ระดับต้นๆ ของโลก เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ ที่นักท่องเที่ยวต้องมาชม
จากทางเดิน เราเดินชึ้นสะพาน มองเห็นกลุ่มตึกธนาคาร และ ตึกใหญ่ รูปทรงคล้ายดอกบัว โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ สวยงาม แปลกตา
ตึกรูปทรงคล้ายดอกบัวแห่งนี้ คือ ตึก Art Science Museum นอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ แล้ว ตึกนี้ยังมีนัยว่า The welcomimg Hand of Singapore อีกด้วย
คุณสามีชอบความหมายดีๆ ของตึกนี้ เลยขอเป็นที่ระลึกไปหนึ่งช็อท ตึกแห่งนี้ยังสื่อถึงลักษณะของฝ่ามือ 2 ข้างประสานกัน เหมือนเป็นอุ้งมือรองรับน้ำ จากฟากฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางฮวงจุ้ย น้ำในทางฮวงจุ้ยเปรียบเสมือนเงินทอง นั่นเอง...
จากอาคารมารินา เดินขึ้นสะพานรูปเกลียว หรือ Helix Bridge ที่ถูกออกแบบมา แปลกตา เท่ห์ ไม่เหมือนใคร โดยการจำลองแบบ มาจาก DNA ว่ากันว่า ถ้ามาชมในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้ จะเต็มไปด้วยแสงสี ประหนึ่งเป็นไดอะแกรม รูป DNA กันเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ ที่ต้องมาชม
ตึก Marina Bay Sand หรือที่คนไทย เรียกตึกเรือใบ เป็นแหล่งคาสิโน ยิ่งใหญ่ระดับเวกัสกันเลยทีเีดียว เป็นอีกหนึ่งอภิมหาโปรเจ็ก ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง บังเอิญฝรั่งผ่านมา เลยขอให้ถ่ายรูปคู่ให้หน่อย จัดไปเลย
เดินลงจากสะพาน Helix ก็พบสนามหญ้าสีเขียวลอยน้ำ นั่นคือ สนามแข่งคริกเก็ต หนึ่งในกีฬายอดฮิตของ คนสิงคโปร์ ช่างเป็นสนามที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่มีน้ำล้อมรอบ นักกีฬา และผู้ชมจะมีความสุขขนาดใหนน๊า ที่ได้ชมกีฬา ในสถานที่ ที่สวยงามเยี่ยงนี้...
บริเวณนี้ เป็นสนามกีฬา Youth Olimpic นอกจากจะมีสนามกีฬา ยังมีสวนสาธารณะ ให้ได้ออกกำลังกาย เราและคุณสามีได้อาศัยพักร่มเงาไม้แถวนี้ ก่อนจะเดินทางกันต่อไป
ส่วนนี้่เป็น Stadium จุผู้คนได้มาก เพียงพอสำหรับเกมกีฬานัดสำคัญ เราเดินต่อไป ตรงไปยังตึกทุเรียน ด้านหน้า
เส้นทางรอบอ่าวมารินา ที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม เรียงรายไปด้วยต้นไม้ สิงคโปร์ไม่เคยขาดต้นไม้ใหญ่ แม้นว่าคุณจะอยู่ใจกลางเมือง สักแค่ไหนก็ตาม
ผู้คนได้อาศัยร่มเงาไม้ ระหว่างการชมวิวทิวทัศน์ รอบๆ อ่าวมาริน่า สดชื่นจริงๆ ยามได้นั่งใต้ร่มไม้ ทำให้นึกถึงบ้านเรา ที่พยายามจะกำจัดต้นไม้ ออกไปจากเมือง....
เดินมาถึงตึกทุเรียน โดมขนาดใหญ่ ที่ถูกห้อมล้อมด้วยต้นไม้อีกเช่นกัน
ที่โรงละคร Esplanade หรือ ตึกทุเรียนแห่งนี้ คิวแสดงคอนเสริทยาวเหยียด ทั้งเดือน ด้วยมาตรฐานระดับโลก บวกกับกำลังซื้อของคนสิงคโปร์ จึงมีคอนเสริทให้ดู ตลอดทั้งปี
เราเดินออกจากตึกทุเรียน มุ่งหน้าไปยังจุดสำคัญ เพื่อไปชม Merlion เห็นรถนำเที่ยวรอบๆ เมืองสิงคโปร์ผ่านมา เลยถ่ายรูปมาฝากกัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ในการเที่ยวชมสิงคโปร์
จะไปชม Merlion หรือ สิงห์โตทะเล ของสิงคโปร์ ต้องเดินข้ามสะพาน Esplanade ซึ่งสะพานแห่งนี้ เป็นที่ ปลายน้ำ ของแม่น้ำสิงคโปร์ นั่นเอง
มุมมองบนสะพาน มองเห็น Merlion อยู่ใกลๆ พร้อมกลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มใหญ่มากมาย หันมามองท้องถนนของสิงคโปร์ ไม่เคยเจอกับคำว่ารถติด ไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนใด ของเมือง
ถึงแล้ว สัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ หรือ Merlion Singapore หรือที่คนไทยเรียก เจ้าสิงห์โตทะเล Mer แปลว่า ทะเล Lion แปลว่า สิงห์โต เมื่อนำมารวมกันเป็น Merlion ก็คือ สิงห์โตที่มีตัวเป็นปลา เปรียบเสมือนคนสิงคโปร์ ที่มีรากเง่า มาจากการเป็นชาวประมง นั่นเอง
เบื้องหน้าเจ้าสิงห์โตทะเล ก็เป็นตึกเรือใบ ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่ง สวยงามไม่แพ้กัน เดินกันได้ทั้งวัน เดินกันได้รอบอ่าว หากเรายังมีแรงพอ...
ว่าแล้ว ก็ให้คุณสามีถ่ายให้ซะเลย คู่กับสิงห์โตทะเล ถ้าไม่ถ่าย ก็เหมือนมาไม่ถึงสิงคโปร์ ก็ต้องจัดไปอย่างงี้แหละ แต่กว่าจะถ่ายได้ ต้องให้ผู้คนซา ให้ผู้คนถอยไปก่อน รอจนร้อนเลยแหละ...
จากจุดชมสิงห์โตทะเล เราเดินลอดใต้สะพาน Esplanade เดินเลียบแม่น้ำสิงคโปร์ ไปเดินชมวิถีชีวิตแบบสิงคโปร์ ในยุคก่อนเก่า เดินเล่นริมแม่น้ำ อากาศดี ลมเย็นๆ สบายดี
ตลอดเส้นทาง ริมแม่น้ำสิงคโปร์ จะพบรูปปั้นขนาดเท่าคนจริง ริมแม่น้ำ บอกเล่าความเป็นมาของสิงคโปร์ ผ่านทางรูปปั้น ตลอดริมแม่น้ำสิงคโปร์ ทั้งสองฝั่ง เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ให้ได้เรียนรู้ ว่าแล้วคุณสามี ก็ไปนั่งฟัง ท่านเซอร์ แสตมฟอร์ด ราฟเฟิล ผู้ค้นพบสิงคโปร์ บรรยายว่า ท่านออกแบบสิงคโปร์ มาอย่างไร...
สถาปัตยกรรมเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวสิงคโปร์ ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์ ในยุคแรกเริ่ม ถ้าเราดูจากรูปปั้นเหล่านี้ คงจะนึกไม่ถึงว่า ในเวลาต่อมา สิงคโปร์ที่มีรากเง่าริมแม่น้ำแห่งนี้ จะกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวย ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ไปแล้ว
จากบริเวณรูปปั้นท่านเซอร์ แสตมป์ฟอร์ด มองย้อนไป จะเห็นสะพานแขวน Cavannage Bridge ที่ห้ามรถวิ่งผ่าน ให้คนได้เดินข้ามแม่น้ำ สวย คลาสสิค อยู่ด้านข้างโรงแรมหรูเก่าแก่ The Fullerton
เดิืนมาเรื่อยๆ จะพบสะพาน Elgin Bridge สะพานแห่งประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโยงทั้งสองฝั่งของแม่น้ำสิงคโปร์ เป็นครั้งแรก
สิ่งหนึ่ง ที่เราจะพบเห็นตลอดการเดินทางครั้งนี้ ก็คือ จักรยาน คนสิงคโปร์นิยมขี่จักรยาน ในทุกๆสถานที่ ในทุกแหล่งท่องเที่่ยว นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ระบบการคมนาคมของสิงคโปร์เป็นไป ในทิศทางใด
อีกหนึ่งสถาปัตยกรรม ที่พบเห็น ตามเส้นทางริมแม่น้ำสิงคโปร์
เราเดินมาเรื่อยๆ ใกล้กับสะพาน Elgin จะเป็นท่าน้ำ สำหรับล่องเรือ หรือที่เรียกว่า Boat Quay จะมีร้านอาหารประเภทซีฟู๊ด เรียงราย ตลอดเส้นทาง และเมนูเด็ดของย่านนี้ ก็คือ สารพัด บิ๊กปู จากทั่วสารทิศ
เดินลอดสะพาน Elgin พบจิตรกรรมฝาผนัง แนวสร้างสรรค์ ของคนสิงคโปร์ ดูกันเพลินๆ ดี
โผล่ขึ้นมาจากสะพาน มองย้อนกลับไป เราสามารถเดินข้ามสะพาน และลอดใต้สะพานได้ มองภาพว่า ถ้ามาเดินเล่นยามเย็นย่ำ ค่ำคืน คงได้บรรยากาศริมน้ำ ที่โรแมนติคน่าดู
ถัดมาไม่ใกล พบตึกหลากสี ตรงสี่แยก ที่เป็นสิ่งบ่งบอกว่า นี่เป็นเส้นทางนำไปสู่ ย่าน Clarke Quay
ตรงหัวมุมถนน ก่อนจะข้ามไปย่าน Clarke Quay จะพบร้านบากุ๊ดเต๋ ชื่อดัง ดูจากคนที่นั่งกินภายในร้าน ก็พอจะบอกสรรพคุณได้ว่า อร่อยแน่นอน สามีชวนเข้าไปกินโดยไม่รอช้า
สั่งมาคนละชุด ของสามีเป็นบ๊ะกุ๊ดเต๋ซี่โครงหมู ของเราเป็นบ๊ะกุ๊ดเต๋ปลาสไลด์เป็นชิ้นบางๆ ซึ่งสรุปว่า อร่อยทั้งสองแบบ กินกับน้ำจิ้มซีอิ๊ว และพริก อร่อยมาก หลังจากนั้น อาหารแนวบ๊ะกุ๊ดเต๋ ก็เป็นอาหารประจำชาติของทัวร์นาเม้นท์นี้ เพราะทั้งถูก และอร่อย กินได้แน่นอน
มาถึงย่าน Clarke Quay แหล่งร้านอาหาร ผับ บาร์ โดยเฉพาะยามค่ำคืน จะมีผู้คน มากินดื่ม กันที่นี่ พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศริมน้ำ
นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นท่าเรือ Singapore River Cruise เรือแนวโบราณ สำหรับนั่งกินลม ชมวิว แม่น้ำสิงคโปร์
เรือแล่น เข้า-ออก ตลอดเวลา นั่งดูเพลินดี นึกถึงยามค่ำคืน บริเวณนี้ คงครึกครื้น เป็นที่สุด
ตรงข้ามกับ ย่าน Clarke Quay เป็นห้างดัง ให้ได้เดินหลบร้อน ตากแอร์ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ล้างตา กัน ที่ห้างนี้ มี Food Court ด้วย เข้าไปเดินดูแล้ว อาหารก็น่ากินดี ราคามาตรฐาน ห้างที่สิงคโปร์มีมากถึงมากที่สุด เปิดกันแบบใหญ่โต ทั้งนั้น กินอาหารตาม ศูนย์อาหารของห้างราคาจะถูก กว่ากินตามร้านแน่นอน
เดินชม บ้านเรือน ร้านค้าไปเรื่อยเปื่อย ที่สิงคโปร์ ถ้าไม่ใช่ตึกใหญ่ ก็เป็นตึก ทรงแนวโบราณ ให้ได้เห็นกัน ดูเหมือนจะพยายามอนุรักษ์ไว้ ก็ดูสวยดี
เดินย้อนกลับมา ทางสะพาน Elgin แต่คราวนี้ ข้ามฝั่งแม่น้ำไป เดินตรงไปเรื่อยๆ จะพบตึกรัฐสภาของสิงคโปร์ ไม่ใหญ่โตอย่างที่คิด แต่ก็ดูขลังดี
เดินเลียบอาคารรัฐสภา มาทางด้านหลัง จะพบกับตึกศิลปะ ซึ่งด้านหน้าเป็นรูปปั้นช้าง ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงประทานให้ เมื่อครั้งประพาสสิงคโปร์ มีภาษาไทยกำกับด้วย ปลื้มใจมาก ที่ได้พบเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศเรา
เดินลัดเลาะมา เหมือนพบป่าอยู่ในเมืองตลอดเวลา ที่เดินทางในสิงคโปร์ บ้านเมืองเค้าร่มรื่นดี แม้อยู่ใจกลางเมืองใหญ่
เดินผ่านสโมสรคริกเก็ต เห็นเค้ากำลังแข่งกันอยู่พอดี ไปนั่งดูเค้าเล่นเพลินๆ คล้ายๆฟุตบอล แต่ใช้อุปกรณ์เป็นไม้เลี้ยงลูกบอลเล็กๆ กีฬายอดฮิตของเค้าล่ะ
เดินลอดสะพาน Esplanade ฝั่งโรงละครทุเรียน คราวนี้ เห็นตึกเรือใบชัดเจน ไม่ย้อนแสงแล้ว ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในห้าง ที่ตึกมาริน่า รอเวลาเย็นย่ำ เพื่อดูแสงสี ยามค่ำคืน
ตึกเรือใบ ที่คนไทยเรียก ประกอบด้วย อาคารเป็นรูปทรงไพ่ประกบกัน 3 อาคาร เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นบ่อนคาสิโน ด้านบนเป็นรูปทรงเรือสินค้า ที่หมายถึง ย่านการค้าบริเวณอ่าวมารินา ในสมัยโบราณ บนยอดตึก จะถือว่าเป็นไฮไลท์ ในการชมวิวทิวทัศน์รอบอ่่าว แบบ 360 องศา ที่เรียกว่า Sky Park ค่าเข้าชม คนละ 25 ดอลล่าห์สิงคโปร์จ้า
ระหว่างทางเดิน มีลานฟรีคอนเสริทกลางแจ้งริมอ่าว กำลังเทสเสียง เพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับค่ำคืนนี้ เรียกได้ว่า มีทุกอรรถรส ความบันเทิง ในรอบอ่าวแห่งนี้
เข้ามาในตึกมารินาเบย์ มีแต่สินค้าแบรนด์เนม ยี่ห้อหรู สมแล้วกับเป็นเมืองช็อปปิ้งชั้นสูง คุณสามีไปสะดุดตา กับร้านเฟอรารี่ ที่มีสินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเฟอรารี่ เพิ่งจะได้เห็นของจริงวันนี้ ดูให้เป็นบุญตา
ห้า หกโมงเย็นแล้ว ทุ่มก็แล้ว แต่ท้องฟ้าสิงคโปร์ไม่ยอมมีดสักที ก็แปลกดี เรารอเวลาดูไฟกันนานมาก ประเทศสิงคโปร์ กลางวันยาวนานมาก ขอบอก
รอจนกระทั่งจะสองทุ่มแล้ว ฟ้าก็ยังไม่มืด กลางวันยาวนานจริงๆ เท่ากับว่า ถ้ามาเที่ยวสิงคโปร์ เรามีเวลาเที่ยวได้มากมาย ในแต่ละวัน ถ้าร่างกายเรายังไหวนะ
ในที่สุด ไฟก็เริ่มมา อาคารตึกสูงใหญ่ เริ่มมีแสงสี ราตรีนี้กำลังจะมีชีวิตอีกครั้ง
หันหลังกลับมาที่ตึกเรือใบ เริ่มมีแสงสี เช่นกัน ผู้คนเริ่มเข้าไปพักผ่อนในโรงแรมเรือใบ แห่งนี้
นักถ่ายภาพมือฉมัง จะนิยมมาถ่ายตึกใหญ่เหล่านี้ ในยามค่ำคืน พาขาตั้งกล้องมาจับจองที่ทางกันเป็นแถว มือสมัครเล่นอย่างเรา ก็ถ่ายไปตามประสา และโอกาสที่เอื้ออำนวย
แต่ก็อดตื่นตา ตื่นใจไปกับตึกสูงใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ ช่างสวยงามซะเหลือเกิน เป็นบุญตาที่ได้มาเห็นความศิวิไลท์ของประเทศสิงคโปร์
บริเวณด้านหน้าตึกมารินา แห่งนี้ จะมีไฮไลท์คือ การแสดงแสง สี เสียง เรียกว่า Wonder Full Show การแสดงความยาว 15 นาที วันอาทิตย์ - พฤหัส มีรอบ 20.00 น. , 21.30 น. วันศุกร์ - วันเสาร์ เพิ่มรอบ 23.00 น. อย่าลืมจัดเวลามาชมให้ได้ เพราะการแสดง แสง สี เสียง และ สายน้ำนี้ ถือว่า สวยที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จ้า
และอย่าลืมมาถ่ายรูปไฟ แถวสะพาน Helix คู่กับ ตึกเรือใบ กันด้วยนะ บรรยากาศแถวนี้ ชวนให้ตื่นตา ตื่นใจจริง ในยามราตรีเช่นนี้ ใครที่ชอบถ่ายรูปกลางคืน อย่าลืมพาขาตั้งกล้องมาด้วย จะได้ไม่พลาดช็อทเด็ดอันสวยงาม ราตรีนี้ยาวนานจริงๆ ที่สิงคโปร์ ไม่ต้องกลัวรถไฟฟ้า หรือ รถเมล์ จะหมด เพราะมีบริการจนถึงเที่ยงคืน กันเลยทีเดียว
** ตอนที่ 2 เที่ยวเกาะเซ็นโตซ่า
ขอบคุณสำหรับการรีวืวค่ะ